พิพิธภัณฑ์ศาลาว่าการกลาโหม - Defence Hall Museum

พิพิธภัณฑ์ศาลาว่าการกลาโหม - Defence Hall Museum พิพิธภัณฑ์ศาลาว่าการกลาโหม
(1)

“๑๘ กรกฎาคม ๒๕๖๗ ครบรอบ ๑๔๐ ปี แห่งการเสด็จฯ เปิดอาคารโรงทหารหน้าของรัชกาลที่ ๕”เมื่อวันที่ ๑๘ กรกฎาคม ๒๕๖๗ หรือวันนี้เม...
18/07/2024

“๑๘ กรกฎาคม ๒๕๖๗ ครบรอบ ๑๔๐ ปี แห่งการเสด็จฯ เปิดอาคารโรงทหารหน้าของรัชกาลที่ ๕”
เมื่อวันที่ ๑๘ กรกฎาคม ๒๕๖๗ หรือวันนี้เมื่อ ๑๔๐ ปีที่แล้ว อาคารกรมทหารหน้า (ศาลาว่าการกลาโหมในปัจจุบัน) ได้สร้างแล้วเสร็จอย่างสมบูรณ์พร้อมที่จะใช้เป็นสถานที่สำหรับรองรับกิจการทหารสมัยใหม่ตามแบบอย่างชาติตะวันตก ตามที่รัชกาลที่ ๕ ทรงมีพระราชปณิธานในการปรับปรุงกิจการทหารของไทยให้ทัดเทียมนานาอารยประเทศ
อาคารที่ทำการของกรมทหารหน้า หรือโรงทหารหน้า เริ่มก่อสร้างในปี พ.ศ.๒๔๒๕ แล้วเสร็จในปี พ.ศ.๒๔๒๗ ออกแบบโดยสถาปนิกชาวอิตาเลียน คือ โจอาคิโน แกรซี โดยในวันที่ ๑๘ กรกฎาคม ๒๔๒๗ รัชกาลที่ ๕ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เสด็จพระราชดำเนินมาเปิดอาคารโรงทหารหน้าเป็นปฐมฤกษ์ และพระองค์ได้เสด็จฯ ทอดพระเนตรทุกพื้นที่ในโรงทหารหน้า พร้อมทั้งทอดพระเนตรการซ้อมประลองยุทธอย่างใหม่ของกองทหารทุกเหล่าตามที่เจ้าหมื่นไวยวรนาถ (เจิม แสง-ชูโต) ผู้บังคับการกรมทหารหน้าในขณะนั้นได้จัดถวายให้
ต่อมาในวันที่ ๘ เมษายน ๒๔๓๐ ได้มีประกาศจัดการทหาร โดยรวมทหารบกและทหารเรือเข้าด้วยกัน และจัดตั้งกรมยุทธนาธิการขึ้น โดยใช้อาคารโรงทหารหน้าเป็นที่ทำการของกรมยุทธนาธิการ ต่อมาในปี พ.ศ.๒๔๓๗ รัชกาลที่ ๕ ทรงมีพระบรมราชโองการให้รวมการบังคับบัญชาทางการทหารมาไว้ที่กระทรวงกลาโหม และได้แบ่งแยกการปกครองออกจากกระทรวงมหาดไทย รวมทั้งได้ย้ายกระทรวงกลาโหมออกจากศาลาลูกขุนใน ออกมาตั้งที่ศาลายุทธนาธิการ และใช้เป็นที่ทำการของกระทรวงกลาโหมมาจนถึงปัจจุบัน
พื้นที่เดิมก่อนการก่อสร้างอาคารโรงทหารหน้านั้น ส่วนหนึ่งเคยเป็นที่ตั้งของฉางข้าวหลวงเก่าและหมู่วังของพระราชโอรสในสมัยรัชกาลที่ ๑ มาก่อน ประกอบด้วย วังหลักเมืองวังที่ ๒ ซึ่งเป็นที่ประทับของพระองค์เจ้าทับ (กรมหมื่นจิตรภักดี ต้นสกุล ทัพกุล ณ กรุงเทพ) ทรงกำกับกรมช่างหมู่และช่างหล่อ วังถนนหลักเมืองวังที่ ๔ ที่ประทับของพระองค์เจ้าคันธรส (กรมหมื่นศรีสุเรนทร์) และวังถนนหลักเมืองวังที่ ๖ สันนิษฐานว่าเป็นที่ประทับของพระองค์เจ้าทับทิม (กรมหมื่นอินทรพิพิธ ต้นสกุล อินทรางกูร) ทรงกำกับกรมช่างแสงใหญ่และกรมพระคชบาล
ต่อมาพื้นที่วังดังกล่าว รกร้างและทรุดโทรมลง อีกทั้งไม่มีเจ้านายพระองค์ใดมาประทับอีก เจ้าหมื่นไวยวรนาถ (เจิม แสง-ชูโต) ผู้บังคับการกรมทหารหน้าในขณะนั้น จึงได้ขอกราบบังคมทูลรัชกาลที่ ๕ ขอพระราชทานนำพื้นที่บริเวณนี้ มาก่อสร้างเป็นอาคารโรงทหารสำหรับเป็นที่ทำการของกรมทหารหน้า
เอกสารอ้างอิง
- กระทรวงกลาโหม. ๑๓๒ เรื่องเล่าศาลาว่าการกลาโหม. กรุงเทพฯ : อรุณการพิมพ์. ๒๕๖๒.
- กองประวัติศาสตร์ กรมยุทธการทหารบก.การปฏิรูปการทหาร ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว.กรุงเทพฯ : อรุณการพิมพ์.๒๕๔๖.
- ดำรงราชานุภาพ, สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยา. ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๒๖ เรื่องตำนานวังเก่า. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์โสภณพิพรรฒนากร. ๒๔๗๔.
- สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ
ภาพประกอบ
- สำนักงานเลขานุการ สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม

ติดตามชมรายการ เปิดตำนานกับเผ่าทอง ทองเจือ ได้ทางช่อง 36 pptv ค่ะ :)
14/07/2024

ติดตามชมรายการ เปิดตำนานกับเผ่าทอง ทองเจือ ได้ทางช่อง 36 pptv ค่ะ :)

“๑ กรกฎาคม ๒๕๖๗ ครบรอบ ๙๓ ปี วันถึงแก่อสัญกรรม จอมพลและมหาอำมาตย์เอก เจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี (เจิม แสง-ชูโต)”เนื่องด้วยว...
01/07/2024

“๑ กรกฎาคม ๒๕๖๗ ครบรอบ ๙๓ ปี วันถึงแก่อสัญกรรม จอมพลและมหาอำมาตย์เอก เจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี (เจิม แสง-ชูโต)”
เนื่องด้วยวันนี้ตรงกับวันถึงแก่อสัญกรรมของจอมพลและมหาอำมาตย์เอก เจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี (เจิม แสง-ชูโต) ท่านเป็นผู้มีคุณูปการต่อศาลาว่าการกลาโหมเป็นอย่างมาก นับตั้งแต่ก่อตั้งอาคารขึ้นครั้งแรกในปี พ.ศ.๒๔๒๗ และถูกใช้เป็นที่ทำการของกรมทหารหน้า จนพัฒนามาเป็นที่ทำการของกรมยุทธนาธิการและกระทรวงยุทธนาธิการ จนท้ายที่สุด คือ ที่ทำการของกระทรวงกลาโหมในปัจจุบัน
ในวันนี้แอดมินจึงขอนำเสนอเรื่องราวและบทบาททางการทหารที่สำคัญของเจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี (เจิม แสง-ชูโต) มานำเสนอให้ทุกท่านได้อ่านกันอีกครั้ง เพื่อเป็นการระลึกถึงท่านไว้ ณ โอกาสนี้ค่ะ
เจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี (เจิม แสง-ชูโต) มีชื่อเดิมว่า เจิม เกิดเมื่อวันที่ ๒๘ มีนาคม พ.ศ.๒๓๙๔ เป็นบุตรของพระยาสุรศักดิ์มนตรี (แสง แสง-ชูโต) กับคุณหญิงเดิม บุนนาค ต้นตระกูลของท่านสืบมาจากตระกูลบุนนาคและตระกูลชูโตร่วมกัน และนับอยู่ในราชินิกุลแห่งสมเด็จพระอมรินทราบรมราชินี (สมเด็จพระบรมราชินีในรัชกาลที่ ๑) แรกเริ่มท่านได้ถวายตัวเป็นมหาดเล็กหลวงในรัชกาลที่ ๔ ต่อมาในปี พ.ศ.๒๔๑๓ ได้ถวายตัวเป็นทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ในรัชกาลที่ ๕
เมื่อปี พ.ศ.๒๔๒๑ ดำรงตำแหน่งจมื่นสราภัยสฤษดิการ ท่านได้เป็นอุปทูตร่วมกับพระยาภาสกรวงศ์ (พร บุนนาค) ซึ่งเป็นราชทูต เดินทางไปเจรจาการเมืองในกรณีกงสุลน็อกซ์ต่อสมเด็จพระราชินีวิคตอเรียที่ประเทศอังกฤษและเมื่อเดินทางกลับมาถึงสยาม ได้รับการเลื่อนยศเป็น เจ้าหมื่นไวยวรนาถ
ต่อมาในปี พ.ศ.๒๔๒๔ ในขณะที่ท่านดำรงตำแหน่งเจ้าหมื่นไวยวรนาถ ผู้บังคับการกรมทหารหน้า ท่านได้ดูแลและจัดระเบียบ ปรับปรุงกรมทหารหน้าให้ทันสมัย เช่น ริเริ่มการสักตราจักรลงที่หน้าแขนขวาของทหารหน้าทุกคนเพื่อสะดวกในการติดตามตัว และเมื่อมีทหารเข้ามารับราชการที่กรมทหารหน้าจำนวนมากขึ้น ทำให้ไม่มีที่พักอาศัยอย่างเป็นกิจจะลักษณะ ท่านจึงได้สำรวจหาตำแหน่งที่ตั้งที่จะนำมาสร้างเป็นอาคารที่ทำการของกรมทหารหน้า
จึงได้ทูลเกล้าฯ ขอพระราชทานพื้นที่ที่ไม่ได้มีการใช้งานแล้วจากรัชกาลที่ ๕ คือ บริเวณฉางข้าวหลวงเก่าและหมู่วังเจ้านายสมัยรัชกาลที่ ๑ ประกอบด้วย วังถนนหลักเมืองวังที่ ๒, ๔, ๖ นำมาสร้างเป็นโรงทหาร โดยท่านเป็นแม่กองในการก่อสร้าง และมีนายพันเอกพิเศษ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าปฤษฎางค์ ชุมสาย เป็นผู้ช่วยแม่กอง อาคารหลังนี้สร้างขึ้นในปี พ.ศ.๒๔๒๕ แล้วเสร็จในปี พ.ศ.๒๔๒๗ ซึ่งอาคารดังกล่าว คือที่ทำการของกระทรวงกลาโหมในปัจจุบัน
นอกจากนี้ ท่านยังได้เป็นผู้ริเริ่มนำระบบไฟฟ้าเข้ามาใช้ที่อาคารโรงทหารหน้าเป็นแห่งแรก รวมถึงในปี พ.ศ.๒๔๒๘ ท่านได้เป็นแม่ทัพคุมกำลังไปปราบฮ่อที่หลวงพระบาง ซึ่งการไปปราบฮ่อในครั้งนี้ถือเป็นภารกิจสำคัญของกรมทหารหน้า และเป็นงานครั้งสุดท้ายที่ท่านปฏิบัติหน้าที่ในฐานะผู้บังคับการกรมทหารหน้า ก่อนที่ต่อมาท่านจะได้รับพระราชทานยศเป็นพระยาสุรศักดิ์มนตรี
ด้านการรับราชการ
ในปี พ.ศ.๒๔๓๑ ได้รับพระราชทานยศเป็น นายพลตรี
ในปี พ.ศ.๒๔๓๓ ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการกรมทหารบก
ในปี พ.ศ.๒๔๓๙ ได้รับพระราชทานยศเป็น เจ้าพระยา
ในปี พ.ศ.๒๔๔๑ ได้รับพระราชทานยศเป็น พลโท และได้ลาออกจากราชการ
ในปี พ.ศ.๒๔๕๔ ได้รับพระราชทานยศเป็น มหาอำมาตย์เอก (นอกตำแหน่ง)
ในปี พ.ศ.๒๔๖๙ ได้รับพระราชทานยศเป็น จอมพล
จอมพลและมหาอำมาตย์เอก เจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี (เจิม แสง-ชูโต) ถึงแก่อสัญกรรมด้วยโรคตับอ่อนพิการ เมื่อวันที่ ๑ กรกฎาคม พ.ศ.๒๔๗๔ สิริอายุได้ ๘๐ ปี
เอกสารอ้างอิง :
-กรมยุทธการทหารบก กองทัพบก กระทรวงกลาโหม. การทหารของไทยในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์กรมยุทธศึกษาทหารบก. ๒๕๔๑.
-กองประวัติศาสตร์ทหาร กรมยุทธการทหารบก. การปฏิรูปการทหาร ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว. กรุงเทพฯ : อรุณการพิมพ์. ๒๕๔๖.
-ราชกิจจานุเบกษา. ข่าวถึงอสัญญกรรม ประวัติสังเขป จอมพล เจ้าพระยา
-สุรศักดิ์มนตรี (เจิม แสง-ชูโต). เล่ม ๔๘ หน้า ๑๐๘๓ วันที่ ๕ กรกฎาคม ๒๔๗๔.
-สุรศักดิ์มนตรี (เจิม แสง-ชูโต). ประวัติการของจอมพลและมหาอำมาตย์เอก เจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี (เจิม แสง-ชูโต). กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ศรีหงส์. ๒๕๐๔.
-สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ กรมศิลปากร

"โคลงสยามานุสสติ โคลงพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ ๖ ที่ประดับอยู่บริเวณมุขด้านหน้าศาลาว่าการกลาโหม"เมื่อเอ่ยถึงสยามานุสสติ หล...
28/05/2024

"โคลงสยามานุสสติ โคลงพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ ๖ ที่ประดับอยู่บริเวณมุขด้านหน้าศาลาว่าการกลาโหม"
เมื่อเอ่ยถึงสยามานุสสติ หลายๆท่านคงนึกถึงเพลงปลุกใจ ที่เคยฟังผ่านหูกันมาอย่างแน่นอนค่ะ แต่บางท่านอาจจะยังไม่ทราบว่าเพลงสยามานุสสติมีที่มาจากไหน และเหตุใดบทเพลงดังกล่าวถึงถูกนำมาประดับอยู่บริเวณมุขด้านหน้าของอาคารศาลาว่าการกลาโหม ในวันนี้แอดมินจะพาไปรู้จักที่มาที่ไปกันค่ะ
สยามานุสสติ เป็นพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ ๖ ทรงพระราชนิพนธ์ ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน เมื่อวันที่ ๒๗ เมษายน ๒๔๖๑ เพื่อพระราชทานแก่ทหารไทยกองอาสาที่เดินทางไปราชการสงครามโลกครั้งที่ ๑ ที่ทวีปยุโรป จำนวน ๑,๔๒๔ นาย เพื่อเป็นคำสอนที่มุ่งปลูกฝังให้รักชาติบ้านเมือง
โดยเมื่อวันที่ ๒๖ เมษายน ๒๔๖๑ รัชกาลที่ ๖ โปรดเกล้าฯ ให้จัดงานเลี้ยงส่งทหารไทยกองอาสาที่เดินทางไปราชการสงครามที่ทวีปยุโรป ณ สนามข้างพระที่นั่งอนันตสมาคม ซึ่งสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ (พระยศในขณะนั้น) ได้กราบบังคมทูลขอพระราชทานคำขวัญ สำหรับเป็นเครื่องเตือนสติและเป็นที่ยึดเหนี่ยวทางใจให้แก่เหล่าทหารดังกล่าว
ต่อมาในวันรุ่งขึ้น วันที่ ๒๗ เมษายน ๒๔๖๑ รัชกาลที่ ๖ จึงได้ทรงพระราชนิพนธ์โคลงสี่สุภาพ คือ โคลงสยามานุสสติ เพื่อพระราชทานแก่ทหารไทยกองอาสา โดยทรงได้แรงพระราชหฤทัยมาจากคำขวัญปลุกใจของอังกฤษในช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๑ คือ What stands if freedom fall? Who dies if England live?
ในสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม (ตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๔๘๑-๒๔๘๗, พ.ศ.๒๔๙๑-๒๕๐๐)ได้มีการต่อเติมขยายมุขด้านหน้าของอาคารให้ยื่นออกมา โดยมีความสูงเท่าตึก ๒ ชั้น และมีเสากลมขนาดใหญ่เช่นเดียวกับของเดิมอีก ๖ ต้น ทำให้บริเวณชั้น ๒ ของหน้ามุขใหม่ มีระเบียงที่สามารถใช้ประโยชน์ได้
โดยตรงกลางของหน้ามุขที่ทำขึ้นใหม่นี้ ประดับด้วยสัญลักษณ์ของกระทรวงกลาโหม คือ จักร สมอ ปีก สอดขัดภายใต้พระมหาพิชัยมงกุฎ ส่วนทางด้านซ้ายและขวา มีการอัญเชิญโคลงสยามานุสสติมาประดับไว้
สันนิษฐานว่า การที่จอมพล ป. พิบูลสงคราม เลือกนำโคลงสยามานุสสติมาประดับนั้น อาจเป็นเรื่องของการปลุกใจและเตือนใจให้คนไทยรักชาติ รักสามัคคี และระลึกถึงความเสียสละของบรรพบุรุษไทย ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าวที่จอมพล ป.ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมได้เกิดสงครามขึ้นทั้งกรณีพิพาทอินโดจีนและสงครามมหาเอเชียบูรพา
เอกสารอ้างอิง :
- สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม. ๑๓๒ เรื่องเล่า ศาลาว่าการกลาโหม. กรุงเทพฯ : อรุณการพิมพ์. ๒๕๖๒.
- สำนักงานราชบัณฑิตยสภา. 336 กวีวัจน์วรรณนา ที่มาของวรรคทองโคลงสยามานุสสติ ผู้แต่ง พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว. สืบค้นเมื่อ ๒๒ พ.ค.๖๗ จาก www.orst.go.th.
- หอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษก เชียงใหม่. องค์ความรู้ สยามานุสสติ โคลงพระราชนิพนธ์ของสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖. สืบค้นเมื่อ ๒๒ พ.ค.๖๗ จาก www.finearts.go.th
- ECPAD (Etablissement de Communication et de Production Audiovisuelle de la Défense)
- www.google.co.th

“ปืนใหญ่มารประไลย...ปืนใหญ่ที่สวยที่สุด ที่สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๑”ปืนใหญ่มารประไลย เป็น ๑ ในปืนใหญ่ทั้งหมด ๔๐ กระบอก...
08/05/2024

“ปืนใหญ่มารประไลย...ปืนใหญ่ที่สวยที่สุด ที่สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๑”
ปืนใหญ่มารประไลย เป็น ๑ ในปืนใหญ่ทั้งหมด ๔๐ กระบอกที่ตั้งอยู่ด้านหน้าอาคารศาลาว่าการกลาโหม ฝั่งทิศเหนือ ติดกับถนนหลักเมือง เป็นปืนใหญ่ที่ถือได้ว่ามีการสลักลวดลายลงบนกระบอกปืนได้อย่างประณีตและวิจิตรบรรจง ทำให้กลายเป็นปืนใหญ่ที่มีความสวยงามที่สุดในบรรดาปืนใหญ่ทั้งหมดที่ตั้งอยู่ด้านหน้าอาคารศาลาว่าการกลาโหม
ปืนใหญ่มารประไลยถูกสร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๑ พระองค์โปรดเกล้าฯ ให้หล่อปืนนี้ขึ้นบริเวณประตูวิเศษไชยศรี ภายในพระบรมมหาราชวัง เมื่อปี พ.ศ.๒๓๒๙ ร่วมกับปืนใหญ่อีก ๖ กระบอกที่สร้างขึ้นใหม่ในคราวเดียวกัน รวมทั้งสิ้น จำนวน ๗ กระบอก คือ ปืนใหญ่นารายณ์สังหาร ปืนใหญ่มารประไลย ปืนใหญ่ไหวอรณพ ปืนใหญ่พระอิศวรปราบจักรวาล ปืนใหญ่พระกาฬผลาญโลก ปืนใหญ่พระพิรุณแสนห่า และปืนใหญ่พลิกพสุธาหงาย
ปืนใหญ่มารประไลย นอกจากจะโดดเด่นในเรื่องของความสวยงามแล้ว สิ่งหนึ่งที่เป็นที่น่าสังเกตและน่าสนใจ คือ ลักษณะและการจัดวางของลวดลายบนกระบอกปืน ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับปืนใหญ่กระบอกหนึ่ง ที่ทำจากสำริด ที่ถูกพบอยู่ใต้แม่น้ำลพบุรี บริเวณหน้าวัดพนมยงค์ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ปัจจุบันจัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ จันทรเกษม สันนิษฐานว่าเป็นปืนใหญ่ที่สร้างขึ้นในสมัยอยุธยาตอนปลาย
เอกสารอ้างอิง :
- กำพล จำปาพันธ์. อยุธยา จากสังคมเมืองท่านานาชาติสู่มรดกโลก. นนทบุรี : มิวเซียมเพรส. พิมพ์ครั้งที่ ๓. ๒๕๖๑
- คำให้การชาวกรุงเก่า. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ไทย ณ สพานยศเส. ๒๔๕๗.
- พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ จันทรเกษม
- ศิริรัจน์ วังศพ่าห์. ปืนใหญ่โบราณในประวัติศาสตร์ชาติไทย. กรุงเทพฯ : อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง. ๒๕๕๐.
จัดทำภาพกราฟฟิก :
สำนักงานเลขานุการ สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม

ทางพิพิธภัณฑ์ศาลาว่าการกลาโหม ขอขอบพระคุณผู้เข้าชมทุกๆ ท่าน ที่ได้ให้ความสนใจลงทะเบียนและเข้าชมพิพิธภัณฑ์ในงานใต้ร่มพระบ...
26/04/2024

ทางพิพิธภัณฑ์ศาลาว่าการกลาโหม ขอขอบพระคุณผู้เข้าชมทุกๆ ท่าน ที่ได้ให้ความสนใจลงทะเบียนและเข้าชมพิพิธภัณฑ์ในงานใต้ร่มพระบารมี ๒๔๒ ปี กรุงรัตนโกสินทร์ ระหว่างวันที่ ๒๑-๒๕ เมษายน ๒๕๖๗ ที่ผ่านมา
ทางพิพิธภัณฑ์มีความตั้งใจเป็นอย่างยิ่งว่า จะปรับปรุง พัฒนา และอนุรักษ์โบราณวัตถุที่มีคุณค่าของพิพิธภัณฑ์ให้ดียิ่งๆ ขึ้นไปค่ะ
สำหรับท่านใดที่เข้าชมงาน แล้วต้องการดูรูปหรือเก็บรูปถ่ายไว้เป็นที่ระลึก ท่านสามารถสแกน QR Code ด้านล่างนี้ เพื่อเข้าชมได้เลยค่ะ
หรือท่านใดอยากนำรูปที่ท่านถ่ายภายในพิพิธภัณฑ์หรือถ่ายกับปืนใหญ่ มาอวดให้แอดมินหรือพี่วีกับน้องใหม่ดู สามารถโพสลงใต้คอมเม้น พร้อมเขียนความประทับใจไว้ได้เลยค่ะ

ผ่านไปแล้ว ๔ วัน สำหรับงานใต้ร่มพระบารมี ๒๔๒ ปี กรุงรัตนโกสินทร์ ที่พิพิธภัณฑ์ศาลาว่าการกลาโหมเปิดให้ประชาชนทั่วไป ได้ลง...
25/04/2024

ผ่านไปแล้ว ๔ วัน สำหรับงานใต้ร่มพระบารมี ๒๔๒ ปี กรุงรัตนโกสินทร์ ที่พิพิธภัณฑ์ศาลาว่าการกลาโหมเปิดให้ประชาชนทั่วไป ได้ลงทะเบียนเข้าชมภายในพิพิธภัณฑ์รวมถึงเข้าชมส่วนจัดแสดงปืนใหญ่โบราณด้านหน้าอาคารศาลาว่าการกลาโหม
โดยเหลือวันนี้อีกเพียง ๑ วันนะคะ ท่านใดที่สนใจสามารถ walk in ติดต่อตรงจุดลงทะเบียน ตรงเต็นท์สีขาวข้างกระทรวงกลาโหม และลงชื่อเพื่อจองคิวเข้าชมได้เลยค่ะ โดยมีรอบเข้าชมทั้งหมด ๓ รอบ คือ ๐๙.๓๐, ๑๑.๐๐ และ ๑๔.๐๐ น.
สำหรับรูปถ่ายของงานตั้งแต่วันที่ ๒๑-๒๕ เมษายน ทางพิพิธภัณฑ์จะนำ QR Code มาลงทางเพจ เพื่อให้ทุกท่านได้สแกนดูรูปถ่าย ภายหลังจากจบงานวันนี้แล้วค่ะ รอติดตามชมกันนะคะ

ขอบคุณเพจ ตอเอียง. มากๆ เลยนะคะ
24/04/2024

ขอบคุณเพจ ตอเอียง. มากๆ เลยนะคะ

ผ่านไปแล้ว ๓ วัน สำหรับการเปิดให้เข้าเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ศาลาว่าการกลาโหม ในงานใต้ร่มพระบารมี ๒๔๒ ปี กรุงรัตนโกสินทร์ค่ะ ย...
23/04/2024

ผ่านไปแล้ว ๓ วัน สำหรับการเปิดให้เข้าเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ศาลาว่าการกลาโหม ในงานใต้ร่มพระบารมี ๒๔๒ ปี กรุงรัตนโกสินทร์ค่ะ ยังเหลือเวลาอีก ๒ วัน คือ วันที่ ๒๔, ๒๕ เมษายนนี้ มาลงทะเบียนเข้าชมพิพิธภัณฑ์กันเยอะๆ นะคะ 💕
ท่านใดมีข้อสงสัยหรืออยากสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม สอบถามได้ทางอินบ็อคของเพจได้เลยค่ะ

21/04/2024
ทางพิพิธภัณฑ์ศาลาว่าการกลาโหม ได้จัดทำโปสการ์ด จำนวน ๖ แบบ โดยตั้งใจเลือกภาพถ่ายในมุมต่างๆ ของศาลาว่าการกลาโหม ที่แสดงให...
20/04/2024

ทางพิพิธภัณฑ์ศาลาว่าการกลาโหม ได้จัดทำโปสการ์ด จำนวน ๖ แบบ โดยตั้งใจเลือกภาพถ่ายในมุมต่างๆ ของศาลาว่าการกลาโหม ที่แสดงให้เห็นถึงเอกลักษณ์และความสวยงามของอาคารรูปแบบตะวันตกแห่งนี้ และภาพวาดของคชสีห์ ซึ่งเป็นสัตว์สัญลักษณ์ของกระทรวงกลาโหม เพื่อจำหน่ายให้แก่ทุกท่านที่เข้าชมพิพิธภัณฑ์ได้ซื้อเป็นของที่ระลึกกันค่ะ
💌รายละเอียดสินค้า💌
โปสการ์ดมีทั้งหมด ๖ แบบ
ขนาด ๔x๖ นิ้ว ราคาใบละ ๔๐ บาท
- สามารถซื้อได้ที่ด้านหน้างาน บริเวณเต็นท์ลงทะเบียนเข้าชมพิพิธภัณฑ์ ในงาน ๒๔๒ ปี กรุงรัตนโกสินทร์ ระหว่างวันที่ ๒๑-๒๕ เมษายน ๒๕๖๗ ตั้งแต่เวลา ๐๘.๓๐-๑๕.๓๐ น.
- สั่งซื้อ/สอบถามได้ทางอินบล็อคของเพจพิพิธภัณฑ์ศาลาว่าการกลาโหม ค่าจัดส่ง ๔๐ บาททั่วประเทศ
*สินค้ามีจำนวนจำกัดนะคะ*

ท่านใดที่พลาดการลงทะเบียนเข้าชมพิพิธภัณฑ์ศาลาว่าการกลาโหมเมื่อปีที่แล้ว หรือท่านใดที่รอโอกาสอยากเข้าเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ฯ ...
19/04/2024

ท่านใดที่พลาดการลงทะเบียนเข้าชมพิพิธภัณฑ์ศาลาว่าการกลาโหมเมื่อปีที่แล้ว หรือท่านใดที่รอโอกาสอยากเข้าเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ฯ และสัมผัสกับปืนใหญ่โบราณด้านหน้าอาคารของจริง...ติดตามรายละเอียดได้เลยค่ะ
ขอเชิญเที่ยวงาน "ใต้ร่มพระบารมี ๒๔๒ ปีกรุงรัตนโกสินทร์" ๒๑-๒๕ เมษายน ๒๕๖๗ ณ สถานที่สำคัญรอบเกาะรัตนโกสินทร์
โดยพิพิธภัณฑ์ศาลาว่าการกลาโหมร่วมกับกระทรวงวัฒนธรรม เปิดให้เข้าชมพิพิธภัณฑ์ศาลาว่าการกลาโหม ตั้งแต่วันที่ ๒๑-๒๕ เมษายน ๒๕๖๗
ท่านจะได้พบกับ...
- สถาปัตยกรรมตะวันตกของโรงทหารหน้า รูปศิลปะแบบพาลลาเดียนที่สร้างขึ้นสมัยรัชกาลที่ ๕
- นิทรรศการและส่วนจัดแสดงเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันของศาลาว่าการกลาโหม เช่น ประติมากรรมเจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี (เจิม แสง-ชูโต), ตราประทับพระคชสีห์, โบราณวัตถุที่เกี่ยวข้องกับทหารไทยกองอาสาที่เดินทางไปราชการสงครามโลกครั้งที่ ๑ ที่ทวีปยุโรป ฯลฯ
- ร่วมสัมผัสและถ่ายรูปกับปืนใหญ่กระบอกสำคัญ บริเวณด้านหน้าศาลาว่าการกลาโหม
การเข้าชม แบ่งออกเป็น ๓ รอบ ตั้งแต่เวลา ๐๙.๓๐, ๑๑.๐๐ และ ๑๔.๐๐ น. โดยจำกัดผู้เข้าชม ๓๐ ท่าน/รอบ
ท่านใดสนใจสามารถลงทะเบียนเพื่อจองวันและเวลาในการเข้าชมได้ตาม QR Code ด้านล่างในคอมเม้นท์ หรือกดที่ Link นี้ได้เลยค่ะ
https://docs.google.com/forms/d/e/1FAIpQLSfMhtc2z1BeOuUX4UjLbuOC67SzgQ12V9lKIJjmXXPrUE3UFw/viewform?usp=sf_link
*ขั้นตอนการลงทะเบียน*
๑. กรอกข้อมูลของท่านให้ครบถ้วน และกดเลือกรอบวัน/เวลาที่ต้องการ
๒. ในรอบแต่ละวัน ถ้าวันที่ท่านกดเลือกไม่มีลำดับเลขที่ให้เลือกแล้ว หมายถึงยอดจองของวัน/รอบเวลานั้นเต็มแล้ว
๓. ท่านสามารถเปลี่ยนไปเลือกวัน/เวลาอื่นแทนได้
๔. เมื่อเลือกวัน/เวลาที่ต้องการเข้าชมเรียบร้อยแล้ว กดยืนยัน และกดส่ง
๕. การลงทะเบียนเสร็จสมบูรณ์
ขอความร่วมมือผู้ลงทะเบียนทุกท่าน มาก่อนเวลาการเข้าชม ๑๐-๑๕ นาที
ท่านที่ลงทะเบียนผ่าน QR code จองรอบเข้าชมแล้ว เมื่อมาถึงบริเวณหน้างาน ติดต่อเจ้าหน้าที่บริเวณเต็นท์สีขาว เพื่อแจ้งชื่อ-สกุล ยืนยันสิทธิ์ก่อนการเข้าชม
มีข้อสงสัยหรือต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ติดต่อได้ทางอินบ็อกของเพจพิพิธภัณฑ์ค่ะ แล้วพบกันนะคะ

ท่านใดที่พลาดการลงทะเบียนเข้าชมพิพิธภัณฑ์ศาลาว่าการกลาโหมเมื่อปีที่แล้ว หรือท่านใดที่รอโอกาสอยากเข้าเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ฯ ...
17/04/2024

ท่านใดที่พลาดการลงทะเบียนเข้าชมพิพิธภัณฑ์ศาลาว่าการกลาโหมเมื่อปีที่แล้ว หรือท่านใดที่รอโอกาสอยากเข้าเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ฯ และสัมผัสกับปืนใหญ่โบราณด้านหน้าอาคารของจริง...ติดตามรายละเอียดได้เลยค่ะ
ขอเชิญเที่ยวงาน "ใต้ร่มพระบารมี ๒๔๒ ปีกรุงรัตนโกสินทร์" ๒๑-๒๕ เมษายน ๒๕๖๗ ณ สถานที่สำคัญรอบเกาะรัตนโกสินทร์
โดยพิพิธภัณฑ์ศาลาว่าการกลาโหมร่วมกับกระทรวงวัฒนธรรม เปิดให้เข้าชมพิพิธภัณฑ์ศาลาว่าการกลาโหม ตั้งแต่วันที่ ๒๑-๒๕ เมษายน ๒๕๖๗
ท่านจะได้พบกับ...
- สถาปัตยกรรมตะวันตกของโรงทหารหน้า รูปศิลปะแบบพาลลาเดียนที่สร้างขึ้นสมัยรัชกาลที่ ๕
- นิทรรศการและส่วนจัดแสดงเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันของศาลาว่าการกลาโหม เช่น ประติมากรรมเจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี (เจิม แสง-ชูโต), ตราประทับพระคชสีห์, โบราณวัตถุที่เกี่ยวข้องกับทหารไทยกองอาสาที่เดินทางไปราชการสงครามโลกครั้งที่ ๑ ที่ทวีปยุโรป ฯลฯ
- ร่วมสัมผัสและถ่ายรูปกับปืนใหญ่กระบอกสำคัญ บริเวณด้านหน้าศาลาว่าการกลาโหม
การเข้าชม แบ่งออกเป็น ๓ รอบ ตั้งแต่เวลา ๐๙.๓๐, ๑๑.๐๐ และ ๑๔.๐๐ น. โดยจำกัดผู้เข้าชม ๓๐ ท่าน/รอบ
ท่านใดสนใจสามารถลงทะเบียนเพื่อจองวันและเวลาในการเข้าชมได้ตาม QR Code ด้านล่างในคอมเม้นท์ หรือกดที่ Link นี้ได้เลยค่ะ
https://docs.google.com/forms/d/e/1FAIpQLSfMhtc2z1BeOuUX4UjLbuOC67SzgQ12V9lKIJjmXXPrUE3UFw/viewform?usp=sf_link
*ขั้นตอนการลงทะเบียน*
๑. กรอกข้อมูลของท่านให้ครบถ้วน และกดเลือกรอบวัน/เวลาที่ต้องการ
๒. ในรอบแต่ละวัน ถ้าวันที่ท่านกดเลือกไม่มีลำดับเลขที่ให้เลือกแล้ว หมายถึงยอดจองของวัน/รอบเวลานั้นเต็มแล้ว
๓. ท่านสามารถเปลี่ยนไปเลือกวัน/เวลาอื่นแทนได้
๔. เมื่อเลือกวัน/เวลาที่ต้องการเข้าชมเรียบร้อยแล้ว กดยืนยัน และกดส่ง
๕. การลงทะเบียนเสร็จสมบูรณ์
ขอความร่วมมือผู้ลงทะเบียนทุกท่าน มาก่อนเวลาการเข้าชม ๑๐-๑๕ นาที
ท่านที่ลงทะเบียนผ่าน QR code จองรอบเข้าชมแล้ว เมื่อมาถึงบริเวณหน้างาน ติดต่อเจ้าหน้าที่บริเวณเต็นท์สีขาว เพื่อแจ้งชื่อ-สกุล ยืนยันสิทธิ์ก่อนการเข้าชม
มีข้อสงสัยหรือต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ติดต่อได้ทางอินบ็อกของเพจพิพิธภัณฑ์ค่ะ แล้วพบกันนะคะ

กลับมาอีกครั้งกับงาน “ใต้ร่มพระบารมี ๒๔๒ ปีกรุงรัตนโกสินทร์”เมื่อปีที่แล้วท่านใดที่พลาดการลงทะเบียนเข้าชมพิพิธภัณฑ์ศาลาว...
10/04/2024

กลับมาอีกครั้งกับงาน “ใต้ร่มพระบารมี ๒๔๒ ปีกรุงรัตนโกสินทร์”
เมื่อปีที่แล้วท่านใดที่พลาดการลงทะเบียนเข้าชมพิพิธภัณฑ์ศาลาว่าการกลาโหม ในปีนี้เตรียมตัวให้พร้อมนะคะ...
เพราะทางพิพิธภัณฑ์ร่วมกับทางกระทรวงวัฒนธรรม จะเปิดให้ประชาชนและบุคคลทั่วไปที่สนใจ เข้าชมพิพิธภัณฑ์ศาลาว่าการกลาโหมและส่วนจัดแสดงปืนใหญ่โบราณด้านหน้าศาลาว่าการกลาโหม ระหว่างวันที่ 21-25 เมษายน 2567 นี้
สำหรับรายละเอียดการลงทะเบียนเข้าชม สามารถติดตามได้จากทางเพจพิพิธภัณฑ์เร็วๆ นี้ค่ะ 💕

“๘ เมษายน ๒๕๖๗...ครบรอบ ๑๓๗ ปี กระทรวงกลาโหม”เนื่องด้วยเมื่อวาน เป็นวันครบรอบ ๑๓๗ ปี กระทรวงกลาโหม แอดมินขอนำเสนอประวัติ...
09/04/2024

“๘ เมษายน ๒๕๖๗...ครบรอบ ๑๓๗ ปี กระทรวงกลาโหม”

เนื่องด้วยเมื่อวาน เป็นวันครบรอบ ๑๓๗ ปี กระทรวงกลาโหม แอดมินขอนำเสนอประวัติความเป็นมาของกระทรวงให้ได้ทราบกันค่ะ
เป็นเวลากว่า ๑๓๗ ปี ที่กระทรวงกลาโหม ทำหน้าที่ปกป้อง ดูแลผลประโยชน์ของประเทศ พิทักษ์รักษา สถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ พร้อมทั้งยืนหยัดเคียงข้างประชาชนชาวไทย ทั้งในยามปกติสุขและในยามวิกฤติ
ย้อนกลับไปในอดีต พื้นที่ตั้งของกระทรวงกลาโหม ส่วนหนึ่งเคยเป็นที่ตั้งของฉางข้าวหลวงสำหรับพระนคร และส่วนหนึ่งเคยเป็นพื้นที่ตั้งของวังที่รัชกาลที่ ๑ โปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระราชทานแก่พระราชโอรส คือ วังถนนหลักเมืองวังที่ ๒ พระราชทานให้เป็นที่ประทับของพระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าทับ (กรมหมื่นจิตรภักดี) วังถนนหลักเมืองวังที่ ๔ พระราชทานให้เป็นที่ประทับของพระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าคันธรส (กรมหมื่นศรีสุเรนทร์) และวังถนนหลักเมืองวังที่ ๖ ไม่ปรากฏหลักฐาน สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพสันนิษฐานว่า พระราชทานให้เป็นที่ประทับของพระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าทับทิม (กรมหมื่นอินทรพิพิธ)
ต่อมาในปี พ.ศ.๒๔๒๕ รัชกาลที่ ๕ ได้พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้นำพื้นที่ดังกล่าว ซึ่งในขณะนั้นทรุดโทรมและรกร้าง เนื่องจากไม่มีเจ้านายพระองค์ใดเสด็จมาประทับแล้ว นำมาสร้างเป็นอาคารโรงทหารหน้า เพื่อใช้เป็นที่ทำการและที่พักอาศัยของกรมทหารหน้า ตามคำกราบบังคมทูลของเจ้าหมื่นไวยวรนาถ (เจิม แสง-ชูโต) ผู้บังคับการกรมทหารหน้าในขณะนั้น
ถือได้ว่าอาคารโรงทหารหน้า เป็นอาคารทางทหารที่สร้างขึ้นตามแบบยุโรปที่ทันสมัยที่สุดในขณะนั้น เนื่องด้วยสถานที่แห่งนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นของงานกิจการทางทหารสมัยใหม่ และใช้เป็นสถานที่รองรับการปฏิรูปการทหารตามแบบอย่างของชาติตะวันตกในสมัยรัชกาลที่ ๕
ต่อมาในวันที่ ๘ เมษายน ๒๕๓๐ ได้มีพระราชบัญญัติจัดการทหาร มีการจัดตั้งกรมยุทธนาธิการขึ้น เพื่อให้เป็นกรมกลางรับผิดชอบดำเนินการและบังคับบัญชากรมทหารบกและทหารเรือ และได้ใช้สถานที่ของอาคารโรงทหารหน้าเป็นที่ทำการมาตั้งแต่บัดนั้น ซึ่งกรมยุทธนาธิการได้มีการพัฒนาภารกิจและการจัดของหน่วยงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สามารถเผชิญภัยคุกคามที่เปลี่ยนแปลงไปในยุคสมัยต่างๆ ได้ทุกรูปแบบ จนพัฒนาเป็นกระทรวงกลาโหมดังที่ปรากฏในปัจจุบัน
ดังนั้น ในวันที่ ๘ เมษายนของทุกปี จึงถือเป็นวันที่ระลึกวันคล้ายวันสถาปนากระทรวงกลาโหม ซึ่งในปี พ.ศ.๒๕๖๗ นี้ กระทรวงกลาโหมมีอายุครบ ๑๓๗ ปีแล้ว ถ้าเปรียบเป็นต้นไม้ ก็ถือได้ว่าเป็นต้นไม้ใหญ่ที่ผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านช่วงเวลาในเหตุการณ์ต่างๆ ของประเทศมาอย่างยาวนาน ตั้งแต่อดีตจวบจนปัจจุบัน และจะเป็นต้นไม้ใหญ่ที่มีรากอันมั่นคงแข็งแรง เพื่อยืนหยัด ปกป้อง พิทักษ์รักษา สถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และอยู่เคียงข้างประชาชนชาวไทยตราบนานเท่านาน
ที่มาภาพ : ศาลาว่าการกลาโหมในสมัยรัชกาลที่ ๕ สำเนาภาพจากสำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ

"ทำความรู้จักกับคชสีห์ สัตว์สัญลักษณ์ของกระทรวงกลาโหม"ทุกท่านที่เคยผ่านไปมาหน้าศาลาว่าการกลาโหม อาจจะสังเกตเห็นองค์คชสีห...
07/03/2024

"ทำความรู้จักกับคชสีห์ สัตว์สัญลักษณ์ของกระทรวงกลาโหม"
ทุกท่านที่เคยผ่านไปมาหน้าศาลาว่าการกลาโหม อาจจะสังเกตเห็นองค์คชสีห์ขนาดใหญ่ จำนวน ๒ องค์ ตั้งตระหง่านอยู่บริเวณประตูทางเข้าออกด้านหน้าอาคาร เคยสงสัยกันไหมคะ ว่าคชสีห์ที่ตั้งอยู่นี้คืออะไร และทำไมกระทรวงกลาโหมจึงมีคชสีห์เป็นสัญลักษณ์ประจำกระทรวง มาติดตามอ่านในบทความนี้กันเลยค่ะ...
คชสีห์ เป็นสัตว์ในตำนาน ปรากฏชื่ออยู่ในวรรณคดีเรื่องไตรภูมิกถาหรือที่รู้จักกันในชื่อไตรภูมิพระร่วง และในวรรณคดีเรื่องรามเกียรติ์ คชสีห์อาศัยอยู่ในป่าหิมพานต์ เป็นสัตว์ในจินตนาการ ไม่มีอยู่จริง มีรูปร่างผสมระหว่างช้างกับสิงห์ ด้านบนบริเวณศีรษะเป็นช้าง มีงวง ด้านล่างตั้งแต่ส่วนคอลงเป็นสิงห์ มีพละกำลังเทียบเท่าช้างกับสิงห์รวมกัน
คชสีห์ถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ของกระทรวงกลาโหมมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ พระองค์ได้ทรงปฏิรูปการปกครองขึ้นใหม่ รวมอำนาจไว้ที่ศูนย์กลาง โดยกำหนดให้สมุหนายก ดูแลฝ่ายพลเรือน มีตราราชสีห์เป็นตราประจำตำแหน่ง, สมุหกลาโหม ดูแลฝ่ายทหาร มีตราคชสีห์เป็นตราประจำตำแหน่ง และกรมท่า ดูแลการค้ากับต่างชาติ มีตราบัวแก้วเป็นตราประจำตำแหน่ง โดยตราทั้งสามถูกใช้สืบต่อมาจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ คือ กฎหมายตราสามดวงนั่นเอง
สำหรับคชสีห์ นอกจากจะใช้เป็นสัตว์สัญลักษ์ณ์ของกระทรวงกลาโหมแล้ว เรายังสามารถพบเห็นคชสีห์ได้ตามงานศิลปกรรมต่างๆ ของไทย เช่น บนภาพจิตรกรรมฝาผนัง, ตู้พระธรรมลายรดน้ำ รวมถึงประติมากรรมรูปแบบต่างๆ เช่น ประติมากรรมคชสีห์ที่เข้าร่วมในขบวนแห่งานพระเมรุมาศของพระมหากษัตริย์และเจ้านายในสมัยกรุงศรีอยุธยาจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ หรือประติมากรรมลอยตัวที่ทำขึ้นเพื่อประดับบริเวณฐานด้านล่างของพระเมรุมาศรัชกาลที่ ๙ เป็นต้น
นอกจากนี้ ยังมีสัตว์อีกประเภทหนึ่ง ที่มีลักษณะใกล้เคียงกับคชสีห์ และอาศัยอยู่ในป่าหิมพานต์เช่นกัน เรียกว่า ทักทอ (ทัก-ทอ/ ทัก-กะ-ทอ) ซึ่งมีท่อนบนเป็นช้างและท่อนล่างเป็นสิงห์แบบเดียวกับคชสีห์ แต่แตกต่างตรงที่ทักทอจะมีเคราและผมตั้งไปด้านหลัง
เป็นอย่างไรบ้างคะทุกท่าน พอจะรู้จักคชสีห์กันมากขึ้นแล้วใช่ไหมคะ ท่านใดมีข้อสงสัยหรืออยากแลกเปลี่ยนความคิดเห็น สามารถพูดคุยกันทางคอมเม้นได้เลยค่ะ ไว้โอกาสหน้าแอดมินจะพาไปทำความรู้จักเรื่องอะไรของศาลาว่าการกลาโหมอีกบ้าง อย่าลืมติดตามอ่านกันนะคะ
เอกสารอ้างอิง :
-กรมศิลปากร. สมุดภาพสัตว์หิมพานต์. จัดพิมพ์สนองพระมหากรุณาธิคุณในงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุยเดช บรมนาถบพิตร ณ พระเมรุมาศ ท้องสนามหลวง วันพฤหัสบดีที่ ๒๖ ตุลาคม ๒๕๖๐. บริษัท อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง จำกัด. ๒๕๖๑.
-ทักทอ. สืบค้นเมื่อ ๗ ก.พ.๖๗. จาก http://www.himmapan.com
-นิยะดา เหล่าสุนทร. สมุดภาพสัตว์หิมพานต์พระวิหารหลวง วัดสุทัศนเทพวราราม. (ม.ป.ท.) บริษัท อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง จำกัด. ๒๕๕๙. สืบค้นเมื่อ ๕ มี.ค.๖๗. จาก http://www.digital.library.tu.ac.th
-พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติหริภุญไชย ลำพูน. คชสีห์. สืบค้นเมื่อ ๗ ก.พ.๖๗. จาก http://www.finearts.go.th
-พอพันธ์ ทองเฟื่อง. "จินตนาการจากสัตว์หิมพานต์สู่งานเครื่องประดับร่วมสมัย." สารนิพนธ์ศิลปศาสตรบัณฑิต ภาควิชาออกแบบเครื่องประดับ. คณะมัณฑนศิลป์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ๒๕๕๘.
-อมร ศรีพจนารถ. การเขียนภาพคชสีห์. สำนักช่างสิบหมู่ กรมศิลปากร. สืบค้นเมื่อ ๘ ก.พ.๖๗. จาก http://www.datasipumu.finearts.go.th

ทางพิพิธภัณฑ์ศาลาว่าการกลาโหม ได้จัดทำโปสการ์ภาพคชสีห์ สัตว์สัญลักษณ์ของกระทรวงกลาโหมขึ้น เพื่อวางจำหน่ายให้แก่ผู้เข้าชม...
09/01/2024

ทางพิพิธภัณฑ์ศาลาว่าการกลาโหม ได้จัดทำโปสการ์ภาพคชสีห์ สัตว์สัญลักษณ์ของกระทรวงกลาโหมขึ้น เพื่อวางจำหน่ายให้แก่ผู้เข้าชมพิพิธภัณฑ์ และแฟนเพจของเพจพิพิธภัณฑ์ศาลาว่าการกลาโหมทุกท่านได้ซื้อเก็บไว้เป็นที่ระลึกกันค่ะ
ทีมงานพิพิธภัณฑ์ตั้งใจจัดทำโปสการ์ดนี้ เพื่อต้องการนำเสนอภาพของคชสีห์ในรูปแบบที่มีความสง่างาม น่าเกรงขาม แต่สามารถที่จะเข้าถึงได้ทุกเพศทุกวัย เมื่อทุกท่านได้ซื้อของที่ระลึกชิ้นนี้กลับไป ทางพิพิธภัณฑ์หวังเป็นอย่างยิ่งว่าเมื่อท่านหยิบโปสการ์ดใบนี้ขึ้นมาดู จะทำให้นึกถึงพิพิธภัณฑ์ศาลาว่าการกลาโหมและอยากกลับมาเยี่ยมชมอีกครั้ง
💌 รายละเอียดสินค้า 💌
- โปสการ์ดสี่สี เคลือบด้าน ขนาด ๔x๖ นิ้ว
- สามารถซื้อได้ด้วยตนเองภายในพิพิธภัณฑ์ศาลาว่าการกลาโหม ในวันเวลาทำการ (จ-ศ เวลา ๐๘.๓๐ น.-๑๕.๓๐ น.)
- สั่งซื้อ/สอบถาม ได้ทางอินบ็อกเพจพิพิธภัณฑ์ศาลาว่าการกลาโหม ค่าจัดส่ง ๔๐ บาท ทั่วประเทศ
ท่านใดอยากทราบเรื่องราวของ "คชสีห์" สัตว์ในตำนานที่กลายมาเป็นสัญลักษณ์ของกระทรวงกลาโหมทุกวันนี้ ติดตามอ่านได้ทางเพจพิพิธภัณฑ์ เร็วๆ นี้นะคะ
ส่วนโปสการ์ดที่ระลึกรูปแบบอื่นๆ ของพิพิธภัณฑ์ ทุกท่านสามารถกดเข้าไปดูเพิ่มเติมได้ที่ช่องคอมเมนท์ได้เลยค่ะ... 📨

สวัสดีปีใหม่ 2567 🎉🎀🎁ปีใหม่นี้ ขอให้ทุกท่านมีความสุข สุขภาพแข็งแรง คิดสิ่งใดสมปรารถนานะคะ และขอบพระคุณทุกท่านที่คอยสนับส...
01/01/2024

สวัสดีปีใหม่ 2567 🎉🎀🎁
ปีใหม่นี้ ขอให้ทุกท่านมีความสุข สุขภาพแข็งแรง คิดสิ่งใดสมปรารถนานะคะ และขอบพระคุณทุกท่านที่คอยสนับสนุนเพจพิพิธภัณฑ์ศาลาว่าการกลาโหมเป็นอย่างดีมาตลอด หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้รับการสนับสนุนและการตอบรับที่ดีแบบนี้ตลอดไปค่า

จากใจแอดมินและเจ้าหน้าที่พิพิธภัณฑ์ทุกคน 💕

“ชื่อและความหมายของปืนใหญ่โบราณ ด้านหน้าอาคารศาลาว่าการกลาโหม"ตอนที่ ๑ : ชื่อที่มาจากเทพเจ้าในศาสนาพราหมณ์หลายๆ ท่านอาจย...
21/12/2023

“ชื่อและความหมายของปืนใหญ่โบราณ ด้านหน้าอาคารศาลาว่าการกลาโหม"
ตอนที่ ๑ : ชื่อที่มาจากเทพเจ้าในศาสนาพราหมณ์
หลายๆ ท่านอาจยังไม่ทราบว่าปืนใหญ่แต่ละกระบอก มีชื่อเรียกประจำทุกกระบอก และจะมีการจารึกชื่อเอาไว้บนกระบอกปืน เพื่อเป็นการบ่งบอกถึงชื่อของปืนนั้นๆ วันนี้แอดมินจะพาไปทำความรู้จักกับชื่อของปืนใหญ่ด้านหน้าศาลาว่าการกลาโหมกันค่ะว่ามีที่มาอย่างไร และมีหลักในการตั้งชื่อและความหมายแบบใดบ้าง ไปติดตามอ่านกันได้เลยค่ะ ...
ชื่อของปืนใหญ่ในสมัยรัตนโกสินทร์เกือบทั้งหมด มีกล่าวถึงในทำเนียบนามปืนใหญ่ว่า เมื่อปี จ.ศ.๑๑๘๗ (พ.ศ.๒๓๖๘) รัชกาลที่ ๓ ได้พระราชทานนามปืนใหญ่ทั้งเก่าและใหม่ที่เคยประจำการในกองทัพสยาม จำนวนกว่า ๙๑ กระบอก และให้จารึกชื่อเหล่านั้นไว้บนกระบอกปืนด้วย ซึ่งหลักในการตั้งชื่อปืนใหญ่ในสมัยโบราณ มักตั้งชื่อให้มีความคล้องจองกัน และตั้งให้ดูน่ากลัว น่าเกรงขาม เพื่อเป็นการข่มขวัญคู่ต่อสู้หรือฝ่ายตรงข้าม
ชื่อของปืนใหญ่ด้านหน้าศาลาว่าการกลาโหมทั้ง ๔๐ กระบอก แบ่งออกได้เป็น ๗ ประเภท คือ ตั้งมาจากชื่อของเทพเจ้า, จากตัวละครหรือสถานที่ในวรรณคดีไทย, จากชื่อชนชาติต่างๆ, จากชื่อสัตว์ในวรรณคดี, จากประวัติการทำสงคราม, จากปีที่สร้างปืน และชื่อของปืนใหญ่ที่เคยมีปรากฏในสมัยกรุงศรีอยุธยามาแล้ว ในวันนี้แอดมินจะขอนำเสนอเรื่องของปืนใหญ่ที่มีชื่อมาจากเทพเจ้าในศาสนาพราหมณ์ค่ะ
ปืนใหญ่ที่มีชื่อมาจากชื่อของเทพเจ้าในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู มีจำนวน ๔ กระบอก คือ นารายณ์สังหาร, พระอิศวรปราบจักรวาล, พระกาฬผลาญโลก และพระพิรุณแสนห่า ซึ่งเป็นปืนใหญ่ ๔ ใน ๗ กระบอก ที่สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๑ เมื่อปี พ.ศ.๒๓๒๙
ปืนใหญ่นารายณ์สังหาร : เป็นการนำชื่อของพระนารายณ์หรือพระวิษณุ เป็นชื่อของเทพเจ้าสูงสุด ๑ ใน ๓ องค์หรือตรีมูรติตามความเชื่อในศาสนาฮินดู (ประกอบด้วยพระอิศวรหรือพระศิวะ พระนารายณ์หรือพระวิษณุ และพระพรหม) ที่มีหน้าที่ปกป้อง คุ้มครอง และดูแลรักษาโลก ปืนใหญ่นารายณ์สังหารจึงมีความหมายถึง พระนารายณ์ฆ่าหรือสังหารเอาชีวิต
ปืนใหญ่พระอิศวรปราบจักรวาล : “พระอิศวร” หรือพระศิวะ เป็นชื่อของเทพเจ้าแห่งการทำลายล้าง และเป็น ผู้เป็นใหญ่ในจักรวาล เปรียบได้กับปืนกระบอกนี้ มีความสามารถในการยิงทำลายล้าง เช่นเดียวกันกับเทพเจ้าผู้เป็นใหญ่นามว่าพระอิศวรในการปราบจักรวาล
ปืนใหญ่พระกาฬผลาญโลก : “พระกาฬ” ถ้าสะกดด้วย ฬ จะหมายถึงบริวารพระยม ผู้มีหน้าที่นำวิญญาณของมนุษย์ที่ทำบาปไปยังยมโลก แต่ถ้าสะกดตามตัวอักษรเดิมที่ปรากฏบนกระบอกปืน คือ ล จะหมายถึงหน้ากาลซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของเวลา ซึ่งมีเรื่องเล่ากล่าวถึงผู้ที่กลืนกินตนเอง แม้แต่ริมฝีปากล่างของตน เปรียบได้กับเวลาที่กลืนกินทุกอย่าง แต่สันนิษฐานว่าอาจหมายถึง “พระกาฬ” ที่แปลว่า เทพเจ้าแห่งความตายที่ทำลายล้างโลก
ปืนใหญ่พระพิรุณแสนห่า : พระพิรุณเป็นชื่อของเทพเจ้าแห่งน้ำและฝนตามความเชื่อของศาสนาฮินดู โดยคำว่า แสนห่าหมายถึงฝนที่ตกลงมาอย่างหนักเป็นแสนห่า นับไม่ถ้วน (โดยห่าเป็นหน่วยวัดปริมาณน้ำฝนแบบโบราณ ถ้าตกลงมาเต็มบาตรขนาดกลางที่ตั้งรองไว้กลางแจ้ง เรียกว่า น้ำฝน ๑ ห่า) บนปืนกระบอกนี้ เขียนว่า “พระพิรุณแสนห้า” สันนิษฐานว่าน่าจะสะกดว่า แสนห่า มากกว่า ซึ่งมีความหมายถึงจำนวนของฝนที่ตกลงมาอย่างหนัก มากกว่าที่จะหมายถึงตัวเลขที่มีค่าเท่ากับหนึ่งแสนห้า
ชื่อของปืนใหญ่กระบอกต่างๆ ที่ผู้เขียนได้นำเสนอข้างต้นนี้ มีทั้งชื่อที่ตั้งให้ดูน่าเกรงขาม น่ากลัว เพื่อข่มขวัญคู่ต่อสู้ แต่ถ้าสังเกตให้ดี จะพบว่ามีการตั้งชื่อปืนโดยสอดแทรกและแฝงเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ ค่านิยม ความเชื่อเอาไว้ด้วยเช่นกัน ในตอนหน้าผู้เขียนจะนำเสนอชื่อของปืนใหญ่ที่มีที่มาจากอะไรอีกบ้างนั้น อย่าลืมติดตามอ่านกันนะคะ...
เอกสารอ้างอิง
- บุญเลิศ วิวรรณ์. "นามปืนใหญ่ในตำนาน : ยุทธการตัดไม้ข่มนามด้วยภาษา" วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี ปีที่ ๘ ฉบับ ๑ (ม.ค.-มิ.ย.๖๐). ๒๑๑-๒๒๙.
- ปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว. พระบาทสมเด็จพระฯ. ๒๓๕๑-๒๔๐๘. พระราชนิพนธ์ ตำราปืนใหญ่. [ม.ป.ท.]: โรงพิมพ์พานิชศุภผล. ๒๕๐๕.
- อรณิชา สาลีกงชัย. "ที่มาและค่านิยมในการตั้งชื่อปืนใหญ่" สืบค้นเมื่อ ๑๐ ต.ค.๖๕ จาก www.google.com

“คัมภีร์สรรพพจนานุโยค...พจนานุกรมภาษาอังกฤษ-ไทย สมัยรัชกาลที่ ๕”ภายในพิพิธภัณฑ์ศาลาว่าการกลาโหม นอกจากจัดแสดงโบราณวัตถุท...
23/11/2023

“คัมภีร์สรรพพจนานุโยค...พจนานุกรมภาษาอังกฤษ-ไทย สมัยรัชกาลที่ ๕”
ภายในพิพิธภัณฑ์ศาลาว่าการกลาโหม นอกจากจัดแสดงโบราณวัตถุที่เกี่ยวข้องกับประวัติความเป็นมาของศาลาว่าการกลาโหมตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันแล้ว ยังมีโบราณวัตถุอีกประเภทหนึ่งที่แอดมินได้เคยนำเสนอไปบ้างแล้วในบทความครั้งก่อน คือ กลุ่มเอกสารและหนังสือต่างๆ ที่น่าสนใจและยังสะท้อนให้เห็นถึงเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ในสมัยรัชกาลที่ ๕ ได้เป็นอย่างดี ในวันนี้แอดมินจะขอนำเสนอหนังสืออีกประเภทหนึ่ง คือ พจนานุกรมภาษาอังกฤษ-ไทย ค่ะ...
พจนานุกรมดังกล่าวเรียกว่า คัมภีร์สรรพพจนานุโยค (A Comprehensive Anglo-Siamese Dictionary) มีทั้งหมด ๕ เล่ม เป็นสมบัติเดิมของกระทรวงกลาโหม จัดทำโดย สมูเอล เจ. สมิธ (Samuel J. Smith) ชาวต่างชาติที่เป็นหมอสอนศาสนา ซึ่งเดินทางเข้ามารับราชการในสยามตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๔ และเคยเป็นราชเลขานุการส่วนพระองค์ของพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อพระองค์สวรรคต หมอสมิธจึงได้เปิดกิจการโรงพิมพ์ของตนเองขึ้น ชื่อว่าโรงพิมพ์บางคอแหลม และพจนานุกรมดังกล่าวก็ได้จัดพิมพ์ขึ้นที่โรงพิมพ์แห่งนี้
พจนานุกรมทั้ง ๕ เล่ม จัดทำขึ้นระหว่างปี พ.ศ.๒๔๔๓-๒๔๕๑ ประกอบด้วย
เล่ม ๑ : อักษร A-C จัดพิมพ์เมื่อปี พ.ศ.๒๔๔๓
เล่ม ๒ : อักษร D-H จัดพิมพ์เมื่อปี พ.ศ.๒๔๔๗
เล่ม ๓ : อักษร I-P จัดพิมพ์เมื่อปี พ.ศ.๒๔๔๘
เล่ม ๔ : อักษร Q-S จัดพิมพ์เมื่อปี พ.ศ.๒๔๕๐
เล่ม ๕ : อักษร T-Z จัดพิมพ์เมื่อปี พ.ศ.๒๔๕๑
จะเห็นได้ว่ามีความแตกต่างจากพจนานุกรมในปัจจุบัน ที่อักษร A-Z จะจัดพิมพ์อยู่ภายในเล่มเดียว
คัมภีร์สรรพพจนานุโยคนี้ รัชกาลที่ ๕ มีพระราชดำริให้จัดพิมพ์ขึ้น โดยพระองค์และสมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระบรมราชินีนาถ พระราชทานทุนทรัพย์ในการจัดทำ มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นประโยชน์แก่ชาวสยามที่เรียนภาษาอังกฤษ หรือกำลังเรียน รวมถึงคนที่จะเรียนภาษาอังกฤษในอนาคตมีวัตถุประสงค์ในการจัดทำขึ้นเพื่อเป็นประโยชน์แก่ชาวสยามที่เรียนภาษาอังกฤษหรือกำลังเรียน รวมถึงคนที่จะเรียนภาษาอังกฤษในอนาคต
ในหนังสือพิมพ์รายวัน “กรุงเทพฯ เดลิเมล์” ฉบับวันศุกร์ที่ ๒๕ สิงหาคม พ.ศ.๒๔๕๙ ได้ลงเรื่องของหนังสือที่มีจำหน่ายที่โรงพิมพ์กรุงเทพฯ เดลิเมล์ และได้กล่าวถึงคัมภีร์สรรพพจนานุโยคของครูสมิธ (๕ เล่มจบ) เป็นเล่มปกแข็งหุ้มผ้า ขายในราคาจบละ (จบหนึ่งมี ๕ เล่ม) ๓๕ บาท และค่าส่งไปรษณีย์สำหรับส่งให้ผู้สั่งซื้อ เล่มละ ๗ บาท ๒๗ สตางค์ สำหรับคัมภีร์สรรพพจนานุโยคที่ยังไม่ได้เข้าเล่มจะขายในราคาจบละ ๒๐ บาท
ท่านใดที่สนใจอยากศึกษาค้นคว้าหรืออยากชมพจนานุกรมทั้ง ๕ เล่มเพิ่มเติม สามารถติดต่อขอเข้าชมได้ที่พิพิธภัณฑ์ศาลาว่าการกลาโหมค่ะ โดยสามารถติดต่อขอเข้าชมหรือสอบถามรายละเอียดได้ที่อินบ็อคของเพจพิพิธภัณฑ์นะคะ
เอกสารอ้างอิง :
- ส.พลายน้อย. ชาวต่างชาติในประวัติศาสตร์ไทย ฉบับปรับปรุงและเพิ่มเติม. กรุงเทพฯ : บริษัท สถาพรบุ๊คส์ จำกัด. ๒๕๖๓.
- สำนักหอสมุดแห่งชาติ. นสพ.กรุงเทพ เดลิเมล์ ปีที่ ๗ ฉบับที่ ๑๙๖๙วันศุกร์ที่ ๒๕ สิงหาคม ๒๔๕๙. สืบค้นจาก http://164.115.27.97/digital/files/original/0a8a49d75acfecf3a0f3344cb323d30e.pdf. เมื่อ ๒๑ พ.ย.๖๖.
- www.google.com

ที่อยู่

ศาลาว่าการกลาโหม ถ. สนามไชย แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร
กรุงเทพฯ
10200

เวลาทำการ

จันทร์ 08:30 - 16:00
อังคาร 08:30 - 16:00
พุธ 08:30 - 16:00
พฤหัสบดี 08:30 - 16:00
ศุกร์ 08:30 - 16:00

เบอร์โทรศัพท์

+6622223164

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ พิพิธภัณฑ์ศาลาว่าการกลาโหม - Defence Hall Museumผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

วิดีโอทั้งหมด

แชร์


องค์กรของรัฐ อื่นๆใน กรุงเทพฯ

แสดงผลทั้งหมด

คุณอาจจะชอบ