ความคิดเห็น
🇹🇭วันปิยมหาราช🇹🇭
🇹🇭ตรงกับวันที่ 23 ตุลาคม ของทุกปี เป็นวันคล้ายวันสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เนื่องจากพระองค์ทรงเป็นที่รักใคร่อย่างล้นเหลือของพสกนิกรทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ พระองค์จึงได้รับการถวายพระราชสมัญญานามว่า "สมเด็จพระปิยมหาราช" ซึ่งมีความหมายว่า "พระมหากษัตริย์ที่ทรงเป็นที่รักยิ่งของปวงชน" ด้วยความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ🇹🇭
………………….🇹🇭🇹🇭🇹🇭🇹🇭🇹🇭🇹🇭………………………..
📸เครดิตภาพสำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ
หนังสือฟิล์มกระจกจดหมายเหตุ
หนึ่งพันภาพประวัติศาสตร์รัตนโกสินทร์ เล่ม ๒
------------
สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ
------------
ภาพถ่ายจากฟิล์มกระจกของสำนักหอจกดหมายเหตุแห่งชาติ กรมศิลปากร ได้รับการประกาศขึ้นทะเบียนมรดกความทรงจำแห่งโลกของ UNESCO เมื่อพุทธศักราช ๒๕๖๐
หนังสือฟิล์มกระจกจดหมายเหตุ หนึ่งพันภาพประวัติศาสตร์รัตนโกสินทร์ เล่ม ๒ เฉลิมฟิล์มกระจกฉลองมรดกความทรงจำแห่งโลก เป็นหนังสือที่มีคุณค่า เพราะนอกจากจะบอกเล่าเรื่องราวในอดีต และเป็นหลักฐานสำคัญทางวัฒนธรรมแขนงต่างๆ แล้ว ยังเป็นความทรงจำที่ประทับใจคนไทยทั้งมวล สร้างความเป็นปึกแผ่นให้เกิดความรักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และหลอมรวมจิตใจของคยนในชาติให้เป็นหนึ่งเดียว
ในราคาพิเศษ ๗๐๐บาท/เล่ม (มีจำนวนจำกัด)
------------
สนใจติดต่อ
ร้านหนังสือกรมศิลปากร
จุดจำหน่ายหนังสือของสำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ
หรือ
https://bookshop.finearts.go.th
#ฟิล์มกระจก #สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ #กรมศิลปากร
🇹🇭🇹🇭...#เบื้องหลังผู้พิชิตอุโมงค์ขุนตาน
พ.ศ. 2461 ลำปาง - ลำพูน...🇹🇭🇹🇭
หากเป็นยุคนี้การเจาะอุโมงค์เพื่อเป็นเส้นทางคมนาคมไม่ใช่เรื่องยากและสามารถทำได้ในระยะเวลาสั้น เพราะมีเทคโนโลยีขุดเจาะด้วยเครื่องจักรกลที่ทันสมัยไม่ต้องใช้แรงคนเช่นในอดีต
ในปี พ.ศ.2448 สมัยรัชกาลที่ 5 สยามได้วางรางเปิดการเดินรถไฟจากกรุงเทพฯถึงปากน้ำโพ การสร้างทางรถไฟสายเหนือมีความคืบหน้าเป็นระยะๆจุดหมายปลายทางคือเชียงใหม่ นายช่างผู้นำรวจเส้นทางระบุว่าต้องเจาะอุโมงค์ลอดใต้ภูเขายาว 1,352.10 เมตร เพื่อให้รถไฟลอดผ่านไปซึ่งเป็นเรื่องใหม่ไม่เคยเกิดขึ้นในสยามมาก่อน
เมื่อได้ข้อยุติก็เลือกพื้นที่ภูเขาบริเวณอุทยานแห่งชาติดอยขุนตาน ระหว่างอำเภอห้างฉัตร จังหวัดลำปาง กับอำเภอแม่ทา จังหวัดลำพูน เริ่มก่อสร้างเมื่อ พ.ศ. 2450 โดยการรถไฟหลวงแห่งกรุงสยาม มีพลเอกพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบุรฉัตรไชยาการ กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน เป็นผู้บัญชาการ และมีนายช่างชาวเยอรมันชื่อ เอมิล ไอเซน โฮเฟอร์ เป็นผู้ควบคุมการก่อสร้าง
เมื่อขุดเจาะไปได้ 4 ปี ก็เกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 เยอรมนีเป็นประเทศหลักในการทำสงคราม ขณะที่สยามวางตัวเป็นกลางได้ไม่นาน รัฐบาลสยามภายใต้ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ประกาศสงครามต่อเยอรมัน เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2460 จึงทำให้การขุดเจาะหยุดชงัก วิศวกร คนงานชาวเยอรมันตกเป็นเชลยศึกถูกนำมากักตัวไว้ที่พระนคร 6 เดือน จากนั้นถูกส่งต่อไปยังประเทศอินเดียอีก 2 ปี จึงถูกส่งกลับเยอรมนีใน พ.ศ.2463 เมื่อสงครามสงบลง เอมิล ไอเซน โฮเฟอร์ วฺิศวกรผู้ควบคุมงานตั้งแต่แรกได้กลับมาทำงานจนกระทั่งการก่อสร้างแล้วเสร็จ เมื่อปี พ.ศ. 2461 ใช้เวลาทั้งสิ้น 11 ปี
ในการขุดเจาะอุโมงค์นั้นใช้แรงงานจากคนล้วนๆ โดยเจาะรูเล็กๆ โดยใช้สว่าน หรือใช้แรงคนตอกสกัดให้เป็นรูเพื่อนำดินระเบิดไดนาไมต์ฝังเข้าไปในรูเพื่อระเบิดให้เป็นอุโมงค์ใหญ่ ถ้าหินก้อนใหญ่มากไม่สะดวกในการระเบิดให้แตกเป็นก้อนเล็กๆ ก็ใช้วิธีสุมไฟให้หินร้อนจัดแล้วราดด้วยน้ำเย็นลงไปเพื่อให้หินแตกออก ส่วนการขนดิน และหินออกจากอุโมงค์ก็ใช้คนงานขนออกมา การขุดเจาะเริ่มจากปลายอุโมงค์ทั้ง 2 ข้าง เข้ามาบรรจบกันตรงกลาง ใช้เวลาทั้งสิ้น 8 ปี อุโมงค์จึงทะลุถึงกันได้ และใช้เวลาอีก 3 ปีเพื่อผูกเหล็ก เทคอนกรีต ทำผนัง และหลังคาเพื่อความแข็งแรง ป้องกันน้ำรั่วซึมจนอุโมงค์แล้วเสร็จ แต่ก็มีอุปสรรคการวางรางรถไฟจากลำปางไปยังปากอุโมงค์เนื่องจากทางต้องผ่านเหวลึกถึงสามแห่งไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้ จึงต้องสร้างสะพานทอดข้ามเหวระยะทาง 8 กิโลเมตรไปยังปากอุโมงค์
เบื้องหลังความสำเร็จของการเจาะอุโมงค์ขุนตานนั้น นอกเหนือจากผู้บังคับบัญชาระดับสูง วิศวกรชาวเยอรมัน ยังมีแรงงานชาวจีน ชาวอีสาน และไทยใหญ่แบ่งหน้าที่การทำงาน แรงงานพวกหนึ่งเป็นพวกเร่ร่อนไม่มีทางเลือกในชีวิตและยังติดฝิ่นอีกด้วย การมาสร้างอุโมงค์เปิดโอกาสให้การสูบฝิ่นไม่ผิดกฏหมายจึงทำให้เป็นที่ชื่นชอบ และมีกรรมกรขุดเจาะทำงานกันตลอด 24 ชั่วโมง โดยแบ่งกะเป็นผลัดแต่ละผลัดนั้นมีคนงานประมาณ 120 คนขุดเจาะอุโมงค์ทั้งสองฝั่ง
ในบันทึกของ เอมิล ไอเซน โฮเฟอร์ วิศวกรใหญ่ ระบุว่าการสร้างทางรถไฟช่วงนี้ใช้คนงานจีนทำงานเกี่ยวกับดิน ส่วนการขุดเจาะอุโมงค์ใช้คนงานจากภาคอีสาน เนื่องจากคนงานจีนไม่ยอมเข้าไปทำงานในอุโมงค์ เพราะมีความเชื่อว่าในอุโมงค์มีภูตผีปีศาจสิงอยู่ จึงเกิดความหวาดกลัว ส่วนคนงานผูกเหล็กทำผนังเป็นชาวไทยใหญ่
การเข้าไปทำงานกลางป่าทึบ ทำให้คนงานต้องพบกับอุปสรรคและภัยอันตรายมากมาย ทั้งโรคภัยไข้เจ็บ โดยเฉพาะโรคมาลาเรียที่คร่าชีวิตคนงานอยู่เป็นระยะๆ อีกทั้งโรคปอดที่เกิดจากการสูดฝุ่นหินเข้าไปขณะทำงาน ควันพิษจากการระเบิดหิน ในขณะที่เวลากลางคืนก็มักมีเสือมาคาบเอาคนงานไปกินเป็นอาหาร รวมทั้งม้าที่นำมาไว้ใช้แรงงาน จึงต้องทำห้างบนต้นไม้ผลัดเปลี่ยนกันรักษาความปลอดภัยในยามค่ำคืน
หลังจากอุโมงค์ขุนตานสำเร็จมีการวางรางเรียบร้อย จึงเปิดเดินรถไฟสายเหนือตลอดถึงเชียงใหม่อย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2464 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 เป็นเส้นทางรถไฟที่ใช้เวลาถึง 3 รัชกาลด้วยกัน
ขอขอบคุณข้อมูลอ้างอิงและภาพ :
- สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ
- การรถไฟแห่งประเทศไทย
- 50+
สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ จัดกิจกรรมเสวนาเนื่องในนิทรรศการ "ฟิล์มกระจก: เรื่องราวเหนือกาลเวลา" ครั้งที่ ๒ เรื่อง “เล่าเรื่องการเก็บรักษาฟิล์มกระจกและภาพเก่า” เมื่อวันเสาร์ที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๕๖๓ ณ ห้องประชุมใหญ่ สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ
โดยมี วิทยากรรับเชิญ คือ เอนก นาวิกมูล และ อรรถดา คอมันตร์ มาบรรยายและให้ความรู้ และประสบการณ์เกี่ยวกับฟิล์มกระจก
นี่เป็นเพียงภาพรวมของกิจกรรมเสวนาเท่านั้น หากท่านใดสนใจรับชมฉบับเต็ม สามารถรับชมได้ที่ Facebook : @สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ ครับ
สามารถชมผ่านทาง Youtube ได้ที่ >>
https://youtu.be/CWZ7p9-GuVk
art4d READ:
Through the Royal Eyes
นิทรรศการ ฟิล์มกระจก : เรื่องราวเหนือกาลเวลา นำเสนอภาพถ่ายฝีพระหัตถ์ ภาพที่ถ่ายโดยพระบรมวงศานุวงศ์ รวมไปถึงผู้ติดตามและข้าราชบริพาร จากฟิล์มกระจกจำนวน 102 ภาพ แบ่งเรื่องราวทั้งหมดออกเป็น 4 ส่วน ในช่วงรัชสมัยรัชกาลที่ 4 – 7 โดยให้ชื่อต้นแต่ละส่วนว่า “บรรพ” ตั้งแต่ ปฐมบรรพ ไปจนถึง จตุตถบรรพ เล่าเรื่องตั้งแต่การเสด็จประพาสหัวเมืองของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว วิถีชีวิตของผู้คนในกรุงเทพฯ ช่วงเวลาที่วัฒนธรรมตะวันตกหลั่งไหลเข้ามา ไปจนถึงช่วงเวลาแห่งการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดของสยามในช่วงท้ายที่สุดของนิทรรศการ
อ่านต่อได้ทาง
https://art4d.com/2020/08/through-the-royal-eyes
นิทรรศการจัดแสดงที่ ห้องนิทรรศการหลัก ชั้น 8 Bacc หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร จนถึงวันที่ 20 กันยายน 2563 และสามารถชมนิทรรศการในรูปแบบ Virtual Tour ได้ที่
https://virtualarchives.nat.go.th/glassplate/
–
Glass Plate Negatives: Stories That Transcend Time, features works of photographs taken by members of the Royal Family and their entourage. Captured on glass film, the 102 photographs tell stories, which are split into 4 different parts, encompassing the period between the reign of King Rama 4 and King Rama 7.
Read more on
https://art4d.com/en/2020/08/through-the-royal-eyes
The exhibition held at the main gallery, 8th Floor, Bacc หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร, 10 July 2020 - 20 September 2020, or visit the Virtual Tour at:
https://virtualarchives.nat.go.th/glassplate/en/
–
Text: Nutdanai Songsriwilai
Photo courtesy of BACC
สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ
🔹กรมศิลปากร โดย สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ และหอจดหมายเหตุแห่งชาติส่วนภูมิภาค ร่วมกับภาคีเครือข่ายหอจดหมายเหตุ
🔹ขอเชิญชม นิทรรศการออนไลน์ “หอจดหมายเหตุ: พลังแห่งสังคมความรู้ (Archives: Empowering Knowledge Societies)” นิทรรศการเนื่องในวันแห่งการสถาปนาหอจดหมายเหตุแห่งชาติ (18 สิงหาคม)
🔹ระหว่างวันที่ 9 มิถุนายน - 31 สิงหาคม 2563
🔹ทาง➡️
www.nat.go.th นิทรรศการ หัวข้อ หอจดหมายเหตุ : พลังแห่งสังคมความรู้ หรือ
https://virtualarchives.nat.go.th หรือสแกน QR code
🔹ทำความรู้จักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ หอจดหมายเหตุแห่งชาติส่วนภูมิภาค ภาคีเครือข่ายหอจดหมายเหตุ
🔹ชมเอกสารจดหมายเหตุชิ้นสำคัญของชาติ
➡️ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมทาง
www.nat.go.th และ facebook สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ
สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ กรมศิลปากร ได้มีการเก็บและอนุรักษ์ฟิล์มกระจกจำนวนมากที่สุดในเมืองไทยและในเอเชียอาคเนย์ นั่นคือราว 39,000 แผ่น เป็นฟิล์มกระจกที่ส่งผ่านเรื่องราวตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 รัชกาลที่ 6 รัชกาลที่ 7 จนมาถึงห้วงเวลาปัจจุบัน และหนึ่งในสมบัติล้ำค่านั้นคือ “ฟิล์มกระจกชุดหอพระสมุดวชิรญาณ” ซึ่งได้รับยกย่องขึ้นทะเบียนจากองค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ เป็นมรดกความทรงจำแห่งโลก ให้โลกได้รู้ว่า ณ ดินแดนทางตะวันออกแสนไกลแห่งนี้มีรากเหง้าทางวัฒนธรรม มีอัตลักษณ์ และตัวตนเช่นไร
Sarakadee Lite ชวนเปิดกล่องไม้สักที่ใช้บรรจุแผ่นฟิล์มมาตั้งแต่แรกเริ่ม เหมือนเป็นการนั่งไทม์แมชชีนย้อนอดีตสู่ครั้งที่กล้องถ่ายภาพเริ่มเข้ามาบันทึกประวัติศาสตร์ของเมืองไทย พร้อมชมขั้นตอนการอนุรักษ์ จากแผ่นฟิล์ม สู่ห้องเก็บรักษาที่ควบคุมอุณหภูมิ ความชื้นอย่างเคร่งครัด และการเผยแพร่ในรูปแบบดิจิทัลไฟล์เพื่อให้เรื่องราวในอดีตได้ออกไปสู่การรับรู้ของคนรุ่นใหม่ ดังที่ ประทีป เพ็งตะโก อธิบดีกรมศิลปากร ได้กล่าวถึงคุณค่าของฟิล์มกระจกไว้ว่า
“เมื่อภาพหนึ่งภาพสามารถบอกเล่าเรื่องราวได้มากกว่าพันคำ ภาพฟิล์มกระจกหนึ่งภาพจึงมีคุณค่าให้ได้ศึกษามากมาย ทั้งเรื่องการพัฒนาการของบ้านเมือง การแต่งกาย วัฒนธรรม วิถีชีวิตผู้คน สุดแล้วแต่ความสนใจของแต่ละคนว่าจะมองเห็นอะไรบนแผ่นฟิล์มกระจกนั้นๆ”
ติดตามเรื่องราวดีๆ กับ Sarakadee Lite ได้อีกใน youtube.com/sarakadeelite
#ฟิล์มกระจก
📍สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม ร่วมกับมูลนิธิสิริวัฒนภักดี บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ขอเชิญร่วมชมและเรียนรู้เรื่องราวในอดีตของประเทศไทย ในสมัยรัชกาลที่ ๔ ถึง รัชกาลที่ ๗ ผ่านภาพถ่ายจากฟิล์มกระจก ที่องค์การยูเนสโกได้ประกาศขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกความทรงจำแห่งโลกเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๖๐ ในนิทรรศการ “ฟิล์มกระจก: เรื่องราวเหนือกาลเวลา”
โดยภาพถ่ายจากฟิล์มกระจกที่นำมาจัดแสดงในนิทรรศการครั้งนี้ เป็นส่วนหนึ่งจากภาพถ่ายชุดหอพระสมุดวชิรญาณ ที่องค์การยูเนสโกได้ประกาศขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกความทรงจำแห่งโลกเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๖๐ กล่องที่ ๑ – ๒๔ และ ๕๐ – ๕๒ ซึ่งมีจำนวนทั้งสิ้น ๑,๐๐๐ ภาพ บอกเล่าเรื่องราวของประเทศไทยในอดีต รวมทั้งวิถีชีวิตของชาวสยามในสมัยรัชกาลที่ ๔ ถึงรัชกาลที่ ๗ ทั้งนี้ สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ ได้เชิญผู้ทรงคุณวุฒิพร้อมผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับภาพถ่ายโบราณร่วมจัดทำคำบรรยายและคัดเลือกภาพถ่าย จำนวน ๒๐๕ ภาพ นำมาจัดพิมพ์หนังสือในชื่อ “ฟิล์มกระจกจดหมายเหตุ หนึ่งพันภาพประวัติศาสตร์รัตนโกสินทร์” เล่ม ๒ ซึ่งมีเนื้อหาแบ่งเป็น ๒ หมวด ประกอบด้วย หมวดที่ ๑ พระนคร แบ่งเป็น ๑๒ หมวดรอง ได้แก่ พระราชวังและวัง พระราชพิธี ศาสนสถาน แม่น้ำลำคลองถนน ยานพาหนะ โรงเรียน โรงพยาบาล โรงมหรสพ อาคารพักอาศัย อาคารสำนักงาน ห้างร้าน และอาคารเบ็ดเตล็ด และหมวดที่ ๒ หัวเมือง แบ่งเป็น ๔ หมวดรอง ได้แก่ พระราชวัง เสด็จประพาส เสด็จตรวจราชการ และโบราณสถาน ต่อมา ท่านผู้หญิงสิริกิติยา เจนเซน ได้นำภาพถ่ายจากหนังสือ ร่วมกับภาพถ่ายชุดอื่น ไปออกแบบเนื้อหาและนำเสนอในรูปแบบนิทรรศการภายใต้ชื่อ “ฟิล์มกระจก: เรื่องราวเหนือกาลเวลา” รวมทั้งสิ้น ๑๐๒ ภาพ แบ่งเป็น ๔ ส่วน ดังนี้
ส่วนที่ ๑: ปฐมบรรพ การเสด็จประพาสหัวเมืองต่างๆ ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ส่วนที่ ๒: ทุติยบรรพ สยามอันสุขสงบในรอยต่อของกาลเวลา เป็นภาพวิถีชีวิตที่ธรรมดาเป็นกิจวัตรของผู้คนในกรุงเทพฯ ให้บรรยากาศของความสุขสงบ เรียบง่ายของผู้คนและบ้านเมือง
ส่วนที่ ๓: ตติยบรรพ ตะวันออกบรรจบตะวันตก เป็นภาพที่สะท้อนให้เห็นบทบาทของชาวตะวันตกที่ส่งผลต่อวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของชาวสยามในสมัยรัชกาลที่ ๕ ถึงรัชกาลที่ ๗
ส่วนที่ ๔: จตุตถบรรพ เร่งรุดไปข้างหน้า เป็นภาพที่สะท้อนให้เห็นถึงการรับอิทธิพลของชาติตะวันตกที่ทำให้สยามประเทศขณะนั้นเกิดการพัฒนาอย่างรวดเร็ว
⏰เปิดให้ประชาชนเข้าชม ตั้งแต่วันที่ ๑๐ กรกฎาคม – ๒๐ กันยายน ๒๕๖๓ ระหว่างเวลา ๑๐.๐๐ – ๑๙.๐๐ น. ทุกวัน (ยกเว้นวันจันทร์) โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด
สถานที่ : ชั้น ๘ หอศิลปวัฒนธรรมกรุงเทพมหานคร
และสามารถรับชมนิทรรศการเสมือนจริงในรูปแบบออนไลน์ได้ทาง
www.nat.go.th ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมผ่านทางเว็บไซต์สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ
www.nat.go.th หรือ facebook สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ หรือสอบถามเพิ่มเติม โทร. ๐ ๒๒๘๒ ๘๔๒๓ ต่อ ๒๒๘
#สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ #กรมศิลปากร