Lyndsy ข้อมูลการติดต่อ, แผนที่และเส้นทาง,แบบฟอร์มการติดต่อ,เวลาเปิดและปิด, การบริการ,การให้คะแนนความพอใจในการบริการ,รูปภาพทั้งหมด,วิดีโอทั้งหมดและข่าวสารจาก Lyndsy, หน่วยงานราชการ, เอ็มไทย ทาวเวอร์ 87 ชั้น 16 ถ. วิทยุ ลุมพินี เขตปทุมวัน, Bangkok.

เทียบฟอร์ม 3 หุ้น กลุ่มเซ็นทรัล ผลงาน 6 เดือนแรกปี 66 กวาดกำไร 1.14 หมื่นล้านบาทอาณาจักรกลุ่มเซ็นทรัลในตลาดหลักทรัพย์ ยั...
20/08/2023

เทียบฟอร์ม 3 หุ้น กลุ่มเซ็นทรัล ผลงาน 6 เดือนแรกปี 66 กวาดกำไร 1.14 หมื่นล้านบาท
อาณาจักรกลุ่มเซ็นทรัลในตลาดหลักทรัพย์ ยังคงได้รับความสนใจอย่างมากจากนักลงทุน ด้วย 3 เรือธงหลัก ได้แก่ ธุรกิจค้าปลีกและบริการ ภายใต้ บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ CRC ธุรกิจศูนย์การค้า และอสังหาริมทรัพย์ ภายใต้ บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ CPN และ ธุรกิจโรงแรมและร้านอาหาร ภายใต้บริษัท บริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน) หรือ CENTEL
ทั้งนี้ “กรุงเพทธุรกิจ” ได้รวบรวมผลการดำเนินงานครึ่งปีแรก 66 มีกำไรสุทธิ รวมกันกว่า 11,409 ล้านบาท
อ่านต่อ: https://www.bangkokbiznews.com/finance/stock/1084258?anm=

เปิดพอร์ต '3 เสี่ย' เศรษฐีหุ้นเมืองไทย มั่งคั่งรวมกันระดับ 6.45 พันล้านบาททั่วฟ้าเมืองไทย คนที่ถูกขนานนามหรือสถาปนาจากนั...
19/08/2023

เปิดพอร์ต '3 เสี่ย' เศรษฐีหุ้นเมืองไทย มั่งคั่งรวมกันระดับ 6.45 พันล้านบาท
ทั่วฟ้าเมืองไทย คนที่ถูกขนานนามหรือสถาปนาจากนักลงทุนว่าเป็น “เซียนหุ้น” ระดับชั้นนำที่มีชื่อเสียงเป็นที่ประจักษ์ทั้งในอดีตและปัจจุบัน มีจำนวนไม่มาก และในบรรดาเซียนเหล่านี้ มีด้วยกัน 3 เซียนหุ้นที่มีคำนำหน้านามว่า "เสี่ย" ซึ่งประกอบไปด้วย เสี่ยยักษ์ เสี่ยป๋อง และเสี่ยปู่
กรุงเทพธุรกิจ ได้สำรวจทั้ง 3 เสี่ยเซียนหุ้นที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในประเทศ ปัจจุบันมีพอร์ตรวมกันมูลค่าระดับ 6,452.98 ล้านบาท
อ่านต่อ: https://www.bangkokbiznews.com/finance/stock/1084200?anm=

บรรดานักเศรษฐศาสตร์คาดว่า เศรษฐกิจจีนอาจโตไม่ถึงเป้าหมายที่ราว 5% ในปีนี้ เว้นแต่จีนจะใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม...
17/08/2023

บรรดานักเศรษฐศาสตร์คาดว่า เศรษฐกิจจีนอาจโตไม่ถึงเป้าหมายที่ราว 5% ในปีนี้ เว้นแต่จีนจะใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม
สำนักข่าวซีเอ็นบีซี รายงานว่า หลังจากที่เมื่อวานนี้ (15 ส.ค.) ทางการจีนได้ระงับการเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับการว่างงานของเยาวชนซึ่งสูงเป็นประวัติการณ์ ขณะที่ข้อมูลอื่น ๆ ในเดือน ก.ค. บ่งชี้ถึงการชะลอตัวในวงกว้างสืบเนื่องจากการที่ตลาดอสังหาริมทรัพย์ตกต่ำลง นักเศรษฐศาสตร์บางส่วนก็ออกมาคาดการณ์ว่า นี่อาจจะเป็นสัญญาณว่า "เศรษฐกิจจีนอาจขยายตัวไม่ถึงเป้า 5% ในปีนี้"
นางเถา หวัง หัวหน้าฝ่ายเศรษฐกิจเอเชียและหัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จีนของยูบีเอส อินเวสต์เมนต์ แบงก์ (UBS Investment Bank) เปิดเผยว่า ความอ่อนแอในภาคการก่อสร้างอสังหาริมทรัพย์จะเป็นอีกปัจจัยกดดัน จากที่แต่เดิมภาคอุตสาหกรรมก็เผชิญกับแรงกดดันในการลดสินค้าคงคลังอยู่แล้ว ทั้งยังเป็นปัจจัยกดดันความต้องการบริโภคด้วย ซึ่งจะส่งผลให้เศรษฐกิจจีนโตไม่ได้ตามเป้า
ด้านนายถิ่ง ลู่ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จีนของโนมูระ เปิดเผยว่า จีนควรรับหน้าที่เป็นผู้ให้กู้ที่เป็นที่พึ่งสุดท้ายเพื่อสนับสนุนนักพัฒนารายใหญ่ ๆ รวมถึงสถาบันการเงินที่ประสบปัญหา และเป็นผู้ใช้จ่ายที่เป็นที่พึ่งสุดท้ายเพื่อกระตุ้นอุปสงค์ในภาพรวม โดยจีนเผชิญกับแรงกดดันซึ่งอาจทำให้เศรษฐกิจจีนโตไม่ถึงที่โนมูระคาดการณ์ไว้ที่ 4.9% ในไตรมาส 3 และ 4 ของปีนี้ และจะส่งผลให้ทั้งปีเศรษฐกิจจีนโตไม่ถึง 5% ตามเป้า
ทั้งนี้ ข้อมูลของธนาคารโลก ระบุว่า จีนเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสองของโลก โดยคิดเป็นเกือบ 18% ของ GDP โลกในปี 2565
อ้างอิง: https://www.cnbc.com/.../china-economy-may-miss-5percent...

ดัชนีดาวโจนส์ ปิดวันอังคาร (8 ส.ค.) ปรับตัวลงกว่า 100 จุด โดยถูกกดดันจากการที่มูดี้ส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส ประกาศปรับลดอ...
09/08/2023

ดัชนีดาวโจนส์ ปิดวันอังคาร (8 ส.ค.) ปรับตัวลงกว่า 100 จุด โดยถูกกดดันจากการที่มูดี้ส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส ประกาศปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของธนาคารสหรัฐ
📌ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปรับตัวร่วงลง 158.64 จุด หรือ 0.45% ปิดที่ 35,314.49
📌จุดดัชนีเอสแอนด์พี 500 ร่วงลง 19.06 จุด หรือ 0.42% ปิดที่ 4,499.38 จุด
📌ดัชนีแนสแด็ก ลดลง 110.07 จุด หรือ 0.79% ปิดที่ 13,884.32 จุด
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปรับตัวร่วงลง 158.64 จุด หรือ 0.45% ปิดที่ 35,314.49 จุด ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ร่วงลง 19.06 จุด หรือ 0.42% ปิดที่ 4,499.38 จุด และดัชนีแนสแด็ก ลดลง 110.07 จุด หรือ 0.79% ปิดที่ 13,884.32 จุด
หุ้นกลุ่มธนาคารกดดันการซื้อขายในตลาดวันนี้ หลังจากที่มูดี้ส์ประกาศปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของธนาคารขนาดกลางและขนาดเล็กของสหรัฐจำนวน 10 แห่ง ขณะที่พิจารณาทบทวนอันดับความน่าเชื่อถือของธนาคารขนาดใหญ่ โดยจำนวน 6 แห่งมีแนวโน้มถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือ
มูดี้ส์ เตือนว่าภาคธนาคารสหรัฐเผชิญความเสี่ยงจากต้นทุนการระดมทุนที่สูงขึ้น การลดลงของเงินฝาก และอัตราการทำกำไรที่อ่อนแอ หลังการล่มสลายของธนาคารซิลิคอน วัลเลย์ แบงก์ (SVB) และซิกเนเจอร์ แบงก์ (SB)
นักลงทุนจับตาผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน โดยข้อมูลจาก FactSet ระบุว่า 80% ของบริษัทในดัชนี S&P 500 ที่ได้เปิดเผยผลประกอบการไตรมาส 2 แล้ว มีกำไรสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้
นอกจากนี้ ตลาดจับตาตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของสหรัฐในสัปดาห์นี้ ซึ่งจะเป็นปัจจัยบ่งชี้ทิศทางอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)
กระทรวงแรงงานสหรัฐจะเปิดเผยดัชนี CPI ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้บริโภค ประจำเดือนก.ค.ในวันพฤหัสบดีที่ 10 ส.ค.
ทั้งนี้ ผลการสำรวจนักวิเคราะห์คาดว่า ดัชนี CPI ทั่วไป ซึ่งรวมหมวดอาหารและพลังงาน ปรับตัวขึ้น 3.3% ในเดือนก.ค. เมื่อเทียบรายปี จากระดับ 3.0% ในเดือนมิ.ย.
เมื่อเทียบรายเดือน คาดว่าดัชนี CPI ทั่วไป ปรับตัวขึ้น 0.2% ในเดือนก.ค. ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนมิ.ย.
ส่วนดัชนี CPI พื้นฐาน ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน คาดว่าปรับตัวขึ้น 4.7% ในเดือนก.ค. เมื่อเทียบรายปี จากระดับ 4.8% ในเดือนมิ.ย.
เมื่อเทียบรายเดือน คาดว่าดัชนี CPI พื้นฐาน ปรับตัวขึ้น 0.2% ในเดือนก.ค. ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนมิ.ย.
นายอารี วาลด์ นักวิเคราะห์ของบริษัทออพเพนไฮเมอร์ กล่าวว่า การดิ่งลงของตลาดหุ้นวอลล์สตรีทในสัปดาห์ที่แล้ว เป็นจุดเริ่มต้นของการปรับฐานในช่วงปลายฤดูร้อน
"ดัชนี S&P 500 มักทำการปรับฐานในช่วงเดือนส.ค.ในปีก่อนการเลือกตั้ง" นายวาลด์ กล่าว
ทั้งนี้ ตลาดหุ้นวอลล์สตรีททรุดตัวลงในสัปดาห์ที่แล้ว โดยดัชนีดาวโจนส์ร่วงลง 1.1% ขณะที่ดัชนีแนสแด็ก และดัชนีเอสแอนด์พี 500 ดิ่งลง 2.9% และ 2.3% ตามลำดับ ส่งผลให้ดัชนีทั้งสองปรับตัวย่ำแย่ที่สุดเมื่อเทียบรายสัปดาห์นับตั้งแต่เดือนมี.ค.

ดัชนีดาวโจนส์ ปิดวันจันทร์(7ส.ค.)ปรับตัวขึ้นกว่า 400 จุด ขณะที่นักลงทุนส่งแรงซื้อเก็งกำไรเข้าตลาด หลังราคาหุ้นดิ่งลงอย่า...
08/08/2023

ดัชนีดาวโจนส์ ปิดวันจันทร์(7ส.ค.)ปรับตัวขึ้นกว่า 400 จุด ขณะที่นักลงทุนส่งแรงซื้อเก็งกำไรเข้าตลาด หลังราคาหุ้นดิ่งลงอย่างหนักในสัปดาห์ที่แล้ว
▪️ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปรับตัวเพิ่มขึ้น 407.51 จุด หรือ 1.16% ปิดที่ 35,473.13 จุด
▪️ ดัชนีเอสแอนด์พี 500 เพิ่มขึ้น 40.41 จุด หรือ 0.90% ปิดที่ 4,518.44 จุด
▪️ ดัชนีแนสแด็ก เพิ่มขึ้น 85.16 จุด หรือ 0.61% ปิดที่ 13,994.40 จุด
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปรับตัวเพิ่มขึ้น 407.51 จุด หรือ 1.16% ปิดที่ 35,473.13 จุด ดัชนีเอสแอนด์พี 500 เพิ่มขึ้น 40.41 จุด หรือ 0.90% ปิดที่ 4,518.44 จุด และดัชนีแนสแด็ก เพิ่มขึ้น 85.16 จุด หรือ 0.61% ปิดที่ 13,994.40 จุด
ตลาดหุ้นวอลล์สตรีททรุดตัวลงในสัปดาห์ที่แล้ว โดยดัชนีดาวโจนส์ร่วงลง 1.1% ขณะที่ดัชนีแนสแด็ก และดัชนีเอสแอนด์พี 500 ดิ่งลง 2.9% และ 2.3% ตามลำดับ ส่งผลให้ดัชนีทั้งสองปรับตัวย่ำแย่ที่สุดเมื่อเทียบรายสัปดาห์นับตั้งแต่เดือนมี.ค.
นักลงทุนจับตาผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน โดยข้อมูลจาก FactSet ระบุว่า 80% ของบริษัทในดัชนีเอสแอนด์พี 500 ที่ได้เปิดเผยผลประกอบการไตรมาส 2 แล้ว มีกำไรสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้
นอกจากนี้ ตลาดจับตาตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของสหรัฐในสัปดาห์นี้ ซึ่งจะเป็นปัจจัยบ่งชี้ทิศทางอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)
กระทรวงแรงงานสหรัฐจะเปิดเผยดัชนี CPI ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้บริโภค ประจำเดือนก.ค.ในวันพฤหัสบดีที่ 10 ส.ค.
ทั้งนี้ ผลการสำรวจนักวิเคราะห์คาดว่า ดัชนี CPI ทั่วไป ซึ่งรวมหมวดอาหารและพลังงาน ปรับตัวขึ้น 3.3% ในเดือนก.ค. เมื่อเทียบรายปี จากระดับ 3.0% ในเดือนมิ.ย.
เมื่อเทียบรายเดือน คาดว่าดัชนี CPI ทั่วไป ปรับตัวขึ้น 0.2% ในเดือนก.ค. ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนมิ.ย.
ส่วนดัชนี CPI พื้นฐาน ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน คาดว่าปรับตัวขึ้น 4.7% ในเดือนก.ค. เมื่อเทียบรายปี จากระดับ 4.8% ในเดือนมิ.ย.
เมื่อเทียบรายเดือน คาดว่าดัชนี CPI พื้นฐาน ปรับตัวขึ้น 0.2% ในเดือนก.ค. ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนมิ.ย.

กรุงเทพธุรกิจ ได้สำรวจหุ้นในกลุ่ม SET100 พบว่า มี 10 หลักทรัพย์ ที่ผลตอบแทนราคา 7 เดือน บวกเกิน 12%
03/08/2023

กรุงเทพธุรกิจ ได้สำรวจหุ้นในกลุ่ม SET100 พบว่า มี 10 หลักทรัพย์ ที่ผลตอบแทนราคา 7 เดือน บวกเกิน 12%

ภาวะดอกเบี้ยขาขึ้นของธนาคารกลางสหรัฐ กดดันให้ราคานาฬิกาหรูเคลื่อนไหวต่ำกว่าดัชนี S&P 500 ในช่วง 1-3 ปี แม้กูรูฟันธงในช่ว...
01/08/2023

ภาวะดอกเบี้ยขาขึ้นของธนาคารกลางสหรัฐ กดดันให้ราคานาฬิกาหรูเคลื่อนไหวต่ำกว่าดัชนี S&P 500 ในช่วง 1-3 ปี แม้กูรูฟันธงในช่วง 5 ปีจะเอาท์เพอร์ฟอร์มตลาดหุ้น โดยดัชนี Rolex เพิ่มขึ้นมากกว่า 55%
ตั้งแต่ปลายปี 2565 บทวิเคราะห์จากวอลล์สตรีท (Wall Street) ต่างเต็มไปด้วยการคาดการณ์ถึงการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ที่จะสร้างความเสียหายให้กับเศรษฐกิจและตลาดหุ้นสหรัฐ อย่างไรก็ตามสภาวะทางเศรษฐกิจดังกล่าวยังกระทบ "ตลาดนาฬิกาหรูมือสอง" อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ด้วย
โดยดัชนีวอตช์ชาร์ตส โอเวอร์ออล มาร์เก็ต (The WatchCharts Overall Market Index) ซึ่งติดตามราคาของนาฬิกา 60 เรือนจากแบรนด์ชั้นนํา เช่น Rolex, Patek Philippe และ Audemars Piguet ปรับตัวลดลง 32% จากจุดสูงสุดในเดือนมี.ค. 2565 ขณะที่ดัชนีเฉพาะสําหรับ Rolex เพียงรุ่นเดียวลดลง 27% ในช่วงเวลาเดียวกัน
ทั้งนี้ นโยบายทางการเงินแบบเข้มงวดของเฟด ในช่วง 5 ไตรมาสที่ผ่านมา ถูกมองว่าเป็นสาเหตุสําคัญที่ทําให้ราคานาฬิกาตกต่ำ โดยอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นกระตุ้นให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับ สภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) จนนักลงทุน และประชาชนลดการบริโภคสินค้าฟุ่มเฟือย และออมเพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ การชะลอตัวของตลาดคริปโทเคอร์เรนซี จากการเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ยก็ส่งผลกระทบต่อความต้องการนาฬิกาเช่นกัน
โดยตามข้อมูลของ วอตช์ชาร์ตส พบว่า นาฬิกาที่มีราคาแพงที่สุด ได้รับความเดือดร้อนจากการย่อตัวลงของดัชนีครั้งนี้ โดยนาฬิกาหรูที่อยู่ในช่วงราคา 50,001-100,000 ดอลลาร์ ลดลงมากกว่า 15% ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา ในขณะที่กลุ่มราคา 10,001-20,000 ดอลลาร์ ลดลง 10.4% ขณะที่กลุ่มราคา 5,001-10,000 ดอลลาร์ ลดลง 6.8%
น่าสนใจว่า นาฬิกาหรูมีผลการดําเนินงานต่ำกว่าตลาดหุ้นตั้งแต่เดือนมี.ค. 2565 เมื่อเฟดเริ่มขึ้นอัตราดอกเบี้ย เมื่อเปรียบเทียบกับดัชนีเอสแอนด์พี 500 (S&P 500 ) ของหุ้นขนาดใหญ่ของสหรัฐที่เพิ่มขึ้นประมาณ 8% ตั้งแต่นั้นมา
ทั้งนี้ นาฬิกาแบบโครโนมิเตอร์บางยี่ห้อได้รับแรงกดดันมากกว่ายี่ห้ออื่น โดยดัชนีตลาด Rolex ซึ่งติดตามรุ่นที่มีมูลค่ามากที่สุด 30 อันดับแรกลดลง 12.5% จากปีที่แล้ว ในขณะที่ดัชนี Patek Philippe ลดลงถึง 18% อย่างไรก็ตาม Audemars Piguet ย่อตัวลงลึกที่สุดถึง 20% เมื่อเทียบเป็นรายปี
อย่างไรก็ตาม ตามรายงานของบอสตัน คอนเซ้าติ้ง กรุ๊ป (Boston Consulting Group) พบว่า หากย้อนกลับไปในช่วงต้นปี 2565 ราคาของ Rolexes, Patek Philippes และ Piguets แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยยอดขายนาฬิกามือสองสูงถึง 2.2 หมื่นล้านดอลลาร์ในปี 2564 หรือราว 1 ใน 3 ของตลาดนาฬิกาหรูมูลค่า 7.5 หมื่นล้านดอลลาร์
แม้จะมีการลดลงในช่วงที่ผ่านมา แต่ราคาปรับตัวสูงขึ้นอย่างมาก เมื่อเปรียบเทียบในระยะยาวซึ่งเพอร์ฟอร์มดีกว่าตลาดหุ้น โดยดัชนี Rolex เพิ่มขึ้นมากกว่า 55% จาก 5 ปีที่แล้ว
"นาฬิกาหรูทําผลงานได้ดี โดยเฉพาะในระยะยาว เมื่อเปรียบเทียบกับประเภทการลงทุนแบบเดิม โดยตั้งแต่เดือนส.ค. 2561 ถึงม.ค. 2566 ราคาเฉลี่ยในตลาดมือสองสําหรับรุ่นท็อปจากแบรนด์หรูที่ใหญ่ที่สุดสามแบรนด์ ได้แก่ Rolex, Patek Philippe และ Audemars Piguet เพิ่มขึ้นในอัตราปีละ 20% แม้ว่าตลาดจะตกต่ำในวงกว้างในช่วงการระบาดใหญ่ ขณะที่ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ปรับตัวสูงขึ้นเฉลี่ย 8% ต่อปี" บีซีจี ระบุในรายงานที่เผยแพร่เมื่อต้นปีนี้

เทียบฟอร์ม 8 ธุรกิจประกัน ในตลาดหุ้นไทย เก่าแก่สุด รวมมูลค่า 2.4 แสนล้านบาทธุรกิจประกันถือเป็นอีกหนึ่งเมกะเทรนด์ของโลก โ...
15/07/2023

เทียบฟอร์ม 8 ธุรกิจประกัน ในตลาดหุ้นไทย เก่าแก่สุด รวมมูลค่า 2.4 แสนล้านบาท
ธุรกิจประกันถือเป็นอีกหนึ่งเมกะเทรนด์ของโลก โดยเฉพาะในบ้านเราที่มีอัตราการเติบโตของผู้สูงอายุเป็นอันดับต้นๆ ของโลก จึงถือเป็นอีกหนึ่งของการวางแผนชีวิตที่ดี ประกอบกับอัตราดอกเบี้ยอยู่ในช่วงขาขึ้น ส่งผลให้ธุรกิจประกันได้รับประโยชน์
ทั้งนี้ “กรุงเทพธุรกิจ” ได้รวบรวมบริษัทประกันที่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่มีอายุเก่าแก่ที่สุด 8 บริษัท มูลค่ารวมกันกว่า 246,950.97 ล้านบาท

ถือเป็นเช้าที่สดใสสำหรับชาวคริปโทเคอร์เรนซี หลังจากที่ราคาเหรียญคริปโทหลายๆ สกุลปรับตัวขึ้นแรงแบบยกแผง มูลค่าตลาดเพิ่มขึ...
14/07/2023

ถือเป็นเช้าที่สดใสสำหรับชาวคริปโทเคอร์เรนซี หลังจากที่ราคาเหรียญคริปโทหลายๆ สกุลปรับตัวขึ้นแรงแบบยกแผง มูลค่าตลาดเพิ่มขึ้น 6.61% อยู่ที่ 1.26 ล้านล้านดอลลาร์ ในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา
นำโดยเหรียญ XRP ที่วันนี้ (14 ก.ค.) ​ปรับเพิ่มขึ้นถึง 70% เคลื่อนไหวที่ 0.8014 ดอลลาร์ ขึ้นเป็นอันดับ 4 แทนที่ Binance Coin (BNB) บนดัชนีคอยน์มาร์เก็ตแคป หลังมีรายงานข่าวว่า ก.ล.ต.สหรัฐได้ตัดสินให้ XRP ไม่ใช่หลักทรัพย์
XRP ซึ่งเป็นเหรียญของ Ripple Labs ได้รับชัยชนะในศาลแขวงของสหรัฐ เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม เนื่องจากผู้พิพากษา Analisa Torres ตัดสินให้บริษัทได้รับชัยชนะในคดีที่นำเสนอโดยก.ล.ต.สหรัฐ ซึ่งคดีความนี้ยืดเยื้อยาวนานกว่า 3 ปี ตั้งแต่ปี 2563
ขณะที่เหรียญคริปโทอื่นๆ ต่างปรับตัวขึ้นแรงตามด้วย โดย บิตคอยน์ (Bitcoin) เหรียญที่ได้รับความนิยมอันดับหนึ่งปรับเพิ่มขึ้นราว 3.7% มาเคลื่อนไหวที่บริเวณ 31,484 ดอลลาร์
📍Ethereum เพิ่มขึ้น 7.85% มาเคลื่อนไหวที่บริเวณ 2,018 ดอลลาร์
📍Cardano เพิ่มขึ้น 28% เคลื่อนไหวที่บริเวณ 0.366 ดอลลาร์
📍Solana เพิ่มขึ้น 36.77% เคลื่อนไหวที่บริเวณ 29.83 ดอลลาร์
📍Dogecoin เพิ่มขึ้น 9.78% เคลื่อนไหวที่บริเวณ 0.711 ดอลลาร์
นอกจากข่าว XRP แล้ว ราคาเหรียญคริปโท น่าจะได้อานิสงส์จากคาดการณ์ เฟด ที่ใกล้ยุติวงจรดอกเบี้ยขาขึ้นด้วย หลังการเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) และดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ซึ่งบ่งชี้ตัวเลขเงินเฟ้อที่ต่ำกว่าคาด โดยนักลงทุนคาดการณ์ว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกเพียง 1 ครั้งในปีนี้ ก่อนที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปีหน้า
ล่าสุด FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 92.4% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 5.25-5.50% ในการประชุมวันที่ 25-26 ก.ค. และให้น้ำหนักเพียง 7.6% ที่เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 5.00-5.25%
หากย้อนไปในปี 2563 การฟ้องร้องของ กลต.สหรัฐที่พยายามบังคับให้ Ripple หยุดให้บริการโทเคน XRP ภายใต้สมมติฐานว่า XRP เป็นหลักทรัพย์ ปัจจุบันได้มีการฟ้องร้องเพิ่มเติมและส่งผลให้ผู้พิพากษาตัดสินว่า XRP ไม่ใช่หลักทรัพย์
#ราคาเหรียญคริปโท #คริปโท #ตลาดคริปโท #เหรียญXRP #คริปโทเคอร์เรนซี #กรุงเทพธุรกิจ #กรุงเทพธุรกิจCrypto

Stock Focus วันที่ 13 กรกฎาคม 2566ติดตามข่าวสาร บทวิเคราะห์ที่น่าสนใจในแวดวงตลาดหุ้น เพิ่มเติมได้ที่: https://www.bangko...
13/07/2023

Stock Focus วันที่ 13 กรกฎาคม 2566
ติดตามข่าวสาร บทวิเคราะห์ที่น่าสนใจในแวดวงตลาดหุ้น เพิ่มเติมได้ที่: https://www.bangkokbiznews.com/category/finance/stock

Stock Focus วันที่ 12 กรกฎาคม 2566ติดตามข่าวสาร บทวิเคราะห์ที่น่าสนใจในแวดวงตลาดหุ้น เพิ่มเติมได้ที่: https://www.bangko...
12/07/2023

Stock Focus วันที่ 12 กรกฎาคม 2566
ติดตามข่าวสาร บทวิเคราะห์ที่น่าสนใจในแวดวงตลาดหุ้น เพิ่มเติมได้ที่: https://www.bangkokbiznews.com/category/finance/stock

Stock Focus วันที่ 11 กรกฎาคม 2566ติดตามข่าวสาร บทวิเคราะห์ที่น่าสนใจในแวดวงตลาดหุ้น เพิ่มเติมได้ที่: https://www.bangko...
11/07/2023

Stock Focus วันที่ 11 กรกฎาคม 2566
ติดตามข่าวสาร บทวิเคราะห์ที่น่าสนใจในแวดวงตลาดหุ้น เพิ่มเติมได้ที่: https://www.bangkokbiznews.com/category/finance/stock

หุ้นกลุ่มพลังงานยังคงเป็นที่น่าจับตาของนักลงทุนมาอย่างต่อเนื่อง แต่ทว่าในช่วงครึ่งปี 2566 ที่ผ่านมา ยังไม่ค่อยสดใสมากนัก...
10/07/2023

หุ้นกลุ่มพลังงานยังคงเป็นที่น่าจับตาของนักลงทุนมาอย่างต่อเนื่อง แต่ทว่าในช่วงครึ่งปี 2566 ที่ผ่านมา ยังไม่ค่อยสดใสมากนัก ซึ่งได้รับผลกระทบจากปัจจัยลบมาจากปัญหาราคาน้ำมันโลก รวมไปถึงการเมืองในประเทศ ที่เกรงว่าถ้าได้รัฐบาลจากพรรคก้าวไกลเข้ามาบริหารจะมีการปรับโครงสร้างพลังงาน และส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมในภาพรวม จึงทำให้ราคาของหุ้นกลุ่มนี้ยังคงไม่ฟื้นตัว
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์มองว่า เป็นโอกาสในการทยอยเข้าสะสม เนื่องจากหุ้นกลุ่มนี้ส่วนใหญ่มีปัจจัยพื้นฐานดี และปัจจุบันยังคงเหลืออัพไซด์มาก
ประกิต สิริวัฒนเกตุ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เมอร์ชั่นพาร์ทเนอร์ จำกัด ให้ข้อมูลกับกรุงเทพธุรกิจว่า หุ้นกลุ่มพลังงานยังถือว่า มีความน่าสนใจ เนื่องจากราคาน้ำมันได้มาถึงจุดต่ำสุดแล้ว และสามารถฟื้นตัวได้ในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ เพราะหลังจากนี้ สหรัฐจะมีการเข้าซื้อน้ำมันคืนหลังจากที่มีการนำน้ำมันสำรองออกมา ส่วนฝั่งซัพพลายที่ออกมาจะเริ่มปรับตัวลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งซาอุอาระเบียเริ่มลดการขยายกำลังการผลิตแบบสมัครใจ ขณะที่รัสเซียรัสเซียจะเริ่มเข้ามาเล่นเกมของราคาน้ำมัน รวมถึงประเทศจีนเริ่มมีดีมานด์มากขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง
“น้ำมันในครึ่งปีหลัง มีการคาดการณ์ไว้ว่า การผลิตจะเริ่มน้อยกว่าความต้องการ ส่วนกลุ่มพลังงานถ้าเราเข้าไปเก็บตอนนี้ ก็จะตอบรับกับน้ำมันในราคาที่ปรับตัวลงมาค่อนข้างเยอะ และจะเริ่มมีการจ่ายปันผลระหว่างกาลด้วย โดยจะเริ่มหลังจากมีการประกาศงบไตรมาส 2/66 โดยตัวที่น่าสนใจคือ PTTEP เนื่องจากปริมาณการขายค่อนข้างที่จะดูดีขึ้น ซึ่งจะไปชดเชยกับราคาน้ำมันที่มีการปรับตัวลดลง โดยภาพรวมจึงมองว่า มูลค่าการขายดีขึ้นจากปีที่ผ่านมา หรือเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า”
.
นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า กลุ่มพลังงานก่อนหน้านี้ได้รับผลกระทบจากปัญหาทางภายในประเทศจากการเมืองในช่วงที่ผ่านมา ที่อาจจะมีความกังวลต่อการลดราคาพลังงานลงมา จนทำนักลงทุนเกิดความวิตกกังวลกันไปก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ตาม ประเด็นในประเทศยังไม่ใช่ประเด็นหลักที่ทำให้กลุ่มพลังงานนั้นมีราคาปรับตัวลงมา เพราะการที่จะเข้าไปแก้สัญญาเก่าโดยเฉพาะในกลุ่มโรงไฟฟ้าคงเป็นไปได้ยาก
ขณะเดียวกันในกลุ่มพลังงานในฝั่งของคอมมูนิตี้ที่มีการลิ้งค์กับสินค้าโภคภัณฑ์โลก เช่นราคาน้ำมันโลก รวมไปถึงราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีต่าง ๆ ถ้าคงจะให้ราคาไปไกลกว่านี้ ก็น่าจะยากลำบากเหมือนกัน ด้วยสมมุติฐานหลักจากเศรษฐกิจโลก แม้ว่าอาจจะไม่ได้ถดถอยในปีนี่ แต่อาจจะเกิดขึ้นในปีหน้า ขณะที่ในปีนี้ การอ่อนตัวต่อเศรษฐกิจโลกยังคงมีมาให้ได้เห็น จะเป็นลักษณะค่อย ๆ ชะลอ หรือหดตัวลงทีละนิด
ฉะนั้นด้วยสภาพเศรษฐกิจเช่นนี้ อุปสงค์ดีมานด์โลกต่าง ๆ ยังไม่ได้มีปัจจัยที่ดีขึ้น โอกาสที่สินค้าคอมมูนิตี้ปรับสูงขึ้นแรง ๆ ยังคงเป็นเรื่องที่ยาก ขณะที่หุ้นพลังงานในประเทศก็มีส่วนลิ้งค์กับราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลกด้วย ซึ่งมองว่า ปัจจัยดังกล่าวอาจจะยังทำให้กลุ่มพลังงานยังไปไหนไม่ได้ไกล แม้ว่า valuation จะอยู่ค่อนข้างต่ำก็ตาม กลยุทธในกลุ่มนี่จึงมองว่า ยังคงมีมุมมองเป็นกลาง ๆ เนื่องจากสถานการณ์ดังกล่าวยังคงมีความอ่อนแออยู่
หากนักลงทุนมีความสนใจที่เข้าไปลงทุนในกลุ่มนี้จริง ๆ จะมีหุ้นบางตัวที่ก่อนหน้านี้ราคามีการปรับตัวลงมาค่อนข้างมาจากปัจจัยภายในประเทศไปบ้างแล้ว แต่ไม่ได้รับผลกระทบต่อปัจจัยภายนอกประเทศ มองว่าเป็นกลุ่มโรงไฟฟ้าที่มีความน่าสนใจอยู่ เพราะถ้าเรามองว่า กลุ่มคอมมูนิตี้ยังไปไหนไม่ได้ไกล กลุ่มโรงไฟฟ้าจะได้รับประโยชน์ จากต้นทุนราคาแก๊สที่อาจจะไม่ได้ขยับสูงขึ้น แต่จะมีการขยับลงจนถึือว่ามาประโยชน์ต่อกลุ่มโรงไฟฟ้า และต้องยอมรับว่า ราคาได้ถูกทำโทษลงมาจากปัจจัยภายในประเทศค่อนข้างมากพอควรแล้ว ซึ่ง 3 ตัวในกลุ่มนี้ที่น่าสนใจคือ GULF BGRIM และ GPSC

แม้ “ตลาดหุ้นจีน” จะเคลื่อนไหวในทิศทางที่ไม่สดใส โดยดัชนีเซี้ยงไฮ้คอมโพสิตต้นปีเป็นต้นมา (YTD) บวกเพียง 3.48% แต่จากข้อม...
09/07/2023

แม้ “ตลาดหุ้นจีน” จะเคลื่อนไหวในทิศทางที่ไม่สดใส โดยดัชนีเซี้ยงไฮ้คอมโพสิตต้นปีเป็นต้นมา (YTD) บวกเพียง 3.48% แต่จากข้อมูลล่าสุดพบว่ามี “เม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติ” ไหลเข้ามาเป็นอันดับหนึ่ง อยู่ที่ 48,188.6 ล้านบาท รองลงมาคือญี่ปุ่นอยู่ที่ 46,884.6 ล้านบาท และตามมาด้วยอินเดียที่ 11,772.9 ล้านบาท ในขณะที่เงินทุนไหลออกจากไทย 3,202.3 ล้านบาท

ผ่าพอร์ตหุ้น ตระกูล "จุฬางกูร" เครือญาติ "จึงรุ่งเรืองกิจ" มั่งคั่ง 1.64 หมื่นล้านบาทตระกูล “จุฬางกูร-จึงรุ่งเรืองกิจ” เ...
08/07/2023

ผ่าพอร์ตหุ้น ตระกูล "จุฬางกูร" เครือญาติ "จึงรุ่งเรืองกิจ" มั่งคั่ง 1.64 หมื่นล้านบาท
ตระกูล “จุฬางกูร-จึงรุ่งเรืองกิจ” เจ้าของอาณาจักรชิ้นส่วนยานยนต์แสนล้านของเมืองไทย ที่สยายปีธุรกิจออกไปอยู่ทั้งในตลาดหลักทรัพย์และนอกตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งถ้าจะโฟกัสไปยังการลงทุนในตลาดหุ้น “ตระกูล จุฬางกูร” ถือว่าเป็นนักลงทุนรายใหญ่ โดยเฉพาะครอบครัว “สรรเสริญ จุฬางกูร” ผู้ก่อตั้งและเป็นประมุขคนแรกของกลุ่มซัมมิท คอร์ปอเรชัน ที่มีทั้งภรรยา “หทัยรัตน์ จุฬางกูร” และลูกชาย “ทวีฉัตร-ณัฐพล จุฬางกูร” ที่เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นมูลมหาศาล
“กรุงเทพธุรกิจ” ได้สำรวจพอร์ตหุ้นของ “หทัยรัตน์ - ทวีฉัตร - ณัฐพล” ณ ปัจจุบัน มั่งคั่งรวมกันระดับ 16,419.58 ล้านบาท

เบญจภาคี วันที่ 7 กรกฎาคม 2566ติดตามข่าวสาร บทวิเคราะห์ที่น่าสนใจในแวดวงตลาดหุ้น เพิ่มเติมได้ที่: https://www.bangkokbiz...
07/07/2023

เบญจภาคี วันที่ 7 กรกฎาคม 2566
ติดตามข่าวสาร บทวิเคราะห์ที่น่าสนใจในแวดวงตลาดหุ้น เพิ่มเติมได้ที่: https://www.bangkokbiznews.com/category/finance/stock

หุ้นกลุ่มธนาคารที่ถือว่า เป็นอีกหนึ่งกลุ่มยอดนิยมของนักลงทุนในตลาดหุ้นไทย ที่ในช่วงไตรมาส 2/66 นักวิเคราะห์ได้ออกมาประเม...
06/07/2023

หุ้นกลุ่มธนาคารที่ถือว่า เป็นอีกหนึ่งกลุ่มยอดนิยมของนักลงทุนในตลาดหุ้นไทย ที่ในช่วงไตรมาส 2/66 นักวิเคราะห์ได้ออกมาประเมินว่า มีการชะลอตัวลงจากไตรมาส 1/66 จากการปรับตัวลดลงของรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ย ขณะเดียวกัน กรณีหุ้น STARK ตั้งแต่เกิดปัญหาขึ้น ส่งผลให้หลายธนาคารเริ่มเคร่งครัดต่อการปล่อยสินเชื่อมากขึ้นด้วย
กิจพณ ไพรไพศาลกิจ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยกับกรุงเทพธุรกิจว่า ภาพรวมไตรมาส 2/66 ของกลุ่มธนาคารมีกำไรลดลงประมาณ 6% QoQ แต่มีการเติบโตขึ้น 8% YoY สาเหตุที่ปรับลดลงมาจากรายได้ที่ไม่ใช่อัตราดอกเบี้ยที่จะชะลอตัวลดลง เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/66 ที่เป็นช่วงไฮซีซั่นของกลุ่มธนาคาร แต่สาเหตุที่สามารถโต YoY ได้มาจากการตั้งสำรองที่มีการปรับตัวลดลง
ทั้งนี้ ธนาคารเกือบทุกแห่งในไตรมาส 2/66 มีการชะลอ QoQ หมดเลย มากบ้างน้อยบ้าง แต่ถ้าไปดู YoY การเติบโตในระดับค่อนข้างสูงหรืออยู่ในระดับดีจะเป็นกลุ่มในธนาคารใหญ่ อย่าง BBL ที่ 21% SCB 18.1% KBANK 18.2% และ TTB 15.4%
และถ้าไปดูกำไรก่อนตั้งสำรองจะเห็นว่า BBL โต 16% ส่วน SCB โต 12.7% ซึ่งมองว่า BBL ได้มีการสะท้อนปัจจัยบวกไปพอสมควรแล้ว ในขณะที่ SCB ช่วงที่ผ่านมา ค่อนข้างที่จะ Underperform ตลาด และยังไม่ได้สะท้อนปัจจัยบวกในด้านการฟื้นตัวของผลประกอบการ จึงมองว่า SCB เป็น Top Picks โดยราคาเหมาะสมอยู่ที่ 138 บาท
ส่วนกรณีหุ้น STARK ตั้งแต่เกิดปัญหาขึ้น ก่อนหน้านี้ธนาคารที่ปล่อยสินเชื่อให้มีการตั้งสำรองไว้แล้วถึง 90% เพราะช่วงแย่ที่สุดของหุ้น STARK น่าจะผ่านมาแล้วช่วงไตรมาส 1/66 ในขณะที่ผลขาดทุนจาก บลจ.ที่เข้าไปลงทุนในหุ้น STARK ก็ไม่ได้กระทบกับธนาคาร ส่วนผู้ที่ได้รับกระทบจะเป็นเจ้าของเงินลงทุน หรือนักลงทุนทั่วไป เพราะฉะนั้นไม่ได้รับผลกระทบต่อกลุ่มธนาคารโดยตรง
กรรณ์ หทัยศรัทธา ผู้ช่วยผู้จัดการ บล.ซีจีเอสซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า แม้งบในไตรมาส 2/66 ของกลุ่มแบงก์ยังถือว่าไปได้ หลังจากอัตราดอกเบี้ยมีการปรับขึ้นมาจากธปท. อาจจะส่งผลกระทบต่อค่าธรรมเนียม หรือค่าฟีปรับลดลงมาแต่คาดว่าไม่มาก
ขณะเดียวกัน กรณีประเด็นหุ้น STARK เริ่มมีการตั้งคำถามว่า SCB และ KBANK ตั้งสำรองพอแล้วหรือยัง และกังวลว่า หากมี STARK ตัวที่ 2 ในกรณีคล้ายกัน หรือเหมือนกัน ส่งผลให้ธนาคารพาณิชย์หลายแห่ง จึงเริ่มรัดเข็มขัดในการปล่อยสินเชื่อลง ฉะนั้นแล้วในไตรมาส 2/66 อาจจะเริ่มเห็นธนาคารพาณิชย์ออกการตั้งสำรองในรูปแบบต่างๆ ขึ้นมาเพื่อเป็นการรัดเข็มขัด
อย่างไรก็ตาม หุ้นกลุ่มธนาคารยังคงมีความชื่นชอบ BBL เนื่องจากเป็นแบงก์ที่มีการควบคุมคุณภาพสินทรัพย์ได้ดีสุด
“กรุงเทพธุรกิจ” ได้สำรวจหุ้นกลุ่มแบงก์ 11 หุ้นครึ่งปีผ่านไปมี 5 ตัวผลงานเป็นบวก และ 6 ตัวผลงานเป็นลบ

STARK แจ้ง “พ.ต.ท.ปกรณ์ สุชีวกุล” ยืนลาออกจากประธานกรรมการ ตั้ง “สมชัย สวัสดีผล” แทนมีผลทันที พร้อมเคาะตั้งกรรมการใหม่ “...
05/07/2023

STARK แจ้ง “พ.ต.ท.ปกรณ์ สุชีวกุล” ยืนลาออกจากประธานกรรมการ ตั้ง “สมชัย สวัสดีผล” แทนมีผลทันที พร้อมเคาะตั้งกรรมการใหม่ “มนตรี ศรีสกูล-ภูมิพัฒน์ สินาเจริญ” นั่งกรรมกรรมการแทนชุดเก่า พร้อมเปลี่ยนแปลงผู้มีอำนาจผูกพันบริษัทเป็น “อภิชาติ ตั้งเอกจิต-ภูมิพัฒน์” มีผล 4 ก.ค. 66
นายอภิชาติ ตั้งเอกจิต กรรมการ บริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STARK เปิดเผยผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ว่า บริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (“บริษัท”) ขอแจ้งมติที่สำคัญของที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 13/2566 ซึ่งประชุมเมื่อวันอังคารที่ 4 กรกฎาคม 2566 เวลา 11:00 น. ต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ดังนี้
1. รับทราบการลาออกของ พ.ต.ท. ปกรณ์ สุชีวกุล จากการเป็นกรรมการ ประธานกรรมการและกรรมการ อิสระของบริษัท โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 4 กรกฎาคม 2566 เป็นต้นไป

ตรวจแถว 18 หุ้น IPO น้องใหม่ ครึ่งแรกปี 2566 ตัวไหนแจ่ม - จุกปี 2566 ผ่านไป 6 เดือนหรือครึ่งปีแล้ว แต่ทว่า ตลาดหุ้นไทย S...
03/07/2023

ตรวจแถว 18 หุ้น IPO น้องใหม่ ครึ่งแรกปี 2566 ตัวไหนแจ่ม - จุก
ปี 2566 ผ่านไป 6 เดือนหรือครึ่งปีแล้ว แต่ทว่า ตลาดหุ้นไทย SET Index ยังไปไม่ถึงไหนจากหลายปัจจัยลบรุมเร้า ส่งผลให้หุ้นน้องใหม่ หรือ หุ้น IPO เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ส่วนใหญ่มีอัตราผลตอบแทนราคานับจากราคา IPO ยังติดลบอยู่
กรรณ์ หทัยศรัทธา นักกลยุทธ์ ฝ่ายวิเคราะห์เศรษฐกิจและการลงทุน สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) จำกัด ให้ข้อมูลกับกรุงเทพธุรกิจว่า หลังจากที่มีกรณี หุ้น STARK ทำให้ตลาดหลักทรัพย์ฯ เริ่มมีความเข้มงวดมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะหุ้นที่มีวอลุ่มแปลก ๆ ที่มีแรงเก็งกำไรมาก ๆ โดยที่ไม่ได้มีการกระจายตัว แต่เป็นการกระจุกตัวในไม่กี่บัญชี
ตลาดหลักทรัพย์ฯ จึงเกรงว่า จะมีประเด็นเกิดขึ้นมาอีก จึงทำให้มีการรัดเข็มขัดมากยิ่งขึ้น ถ้าสังเกตให้ดีในช่วงหลังมานี่้ ในทุก ๆ กลางวัน ตลาดหลักทรัพย์จะออกแจ้งประกาศเตือนนักลงทุนให้ระมัดระวังในหุ้นที่เห็นว่ามีความผิดปกติเกิดขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นวันที่มีการเข้า IPO ซึี่งจะบวกในช่วงเช้า แต่ปิดตลาดก็ลบลงมา
ขณะเดียวกันหุ้นขนาดเล็ก ขนาดกลาง ก็มีการเกิดตั้งคำถามว่า มีการตรวจสอบอย่างถูกต้องหรือไม่ หลังจากที่มีกรณีหุ้น STARK เกิดขึ้น ซึ่งสินค้าบริการหลายบริษัท นักลงทุนส่วนใหญ่ไม่ได้เห็น หรือไม่รู้จัก โดยเฉพาะบริษัทที่ทำ B2B ถ้าเป็นธุรกิจ B2C นักลงทุนก็จะเห็นอย่าง เซเว่น หรือทางด่วน หรือการใช้ซิมมือถือ เป็นต้น
“หุ้นไซด์กลาง ไซด์เล็ก อาจจะมีความกลัวจากประเด็นดังกล่าว เพราะมันเกิดเรื่องของ STARK และมาเจอ MORE ปีที่แล้ว ล่าสุด OTO อีก ทำให้ตลาดออกมาเตือนอย่างเข้มงวดด้วย ทำให้เซนติเมนเสียไป”
กรุงเทพธุรกิจ ได้ทำการสำรวจ 18 หุ้น น้องใหม่ในครึ่งแรกของปี 2566 พบว่า มี 6 หลักทรัพย์ที่ยังเป็นบวก และ 12 หลักทรัพย์ที่ยังติดลบ

  ยังครองแชมป์ “สนามบิน” มูลค่าสูงสุดในโลก ด้วยมูลค่ากว่า 1 ล้านล้านบาท!ข้อมูลจากเว็บไซต์ CompaniesMarketCap ระบุว่า นับ...
02/07/2023

ยังครองแชมป์ “สนามบิน” มูลค่าสูงสุดในโลก ด้วยมูลค่ากว่า 1 ล้านล้านบาท!
ข้อมูลจากเว็บไซต์ CompaniesMarketCap ระบุว่า นับถึงเดือน มิ.ย. 2566 บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด หรือ AOT (Airports of Thailand) เป็นบริษัทสนามบินที่มีมูลค่าตลาดสูงที่สุดในโลกอยู่ที่ 28,870 ล้านดอลลาร์ หรือเกือบ 1.02 ล้านล้านบาท ถือเป็นบริษัทที่มีมูลค่าตลาดสูงสุดอันดับ 633 ของโลก (ณ วันที่ 29 มิ.ย.)
นอกจากนี้ AOT มีรายได้ช่วง 12 เดือนหลังสุดอยู่ที่ราว 880 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 3.1 หมื่นล้านบาท โดยปัจจุบัน ดูแลท่าอากาศยาน 6 แห่งในไทย ได้แก่ สุวรรณภูมิ ดอนเมือง เชียงใหม่ แม่ฟ้าหลวง (เชียงราย) ภูเก็ต และหาดใหญ่
ขณะที่บริษัทสนามบินมูลค่าสูงสุดอันดับ 2 ของโลกคือ Aena ของสเปน ด้วยมูลค่า 24,460 ล้านดอลลาร์ หรือราว 8.64 แสนล้านบาท และมีรายได้ 12 เดือนล่าสุดอยู่ที่ 4,730 ล้านดอลลาร์
อันดับ 3 คือ Shanghai Airport ของจีน มูลค่าตลาดอยู่ที่ 15,580 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 5.5 แสนล้านบาท และเป็นเพียง 1 ใน 2 บริษัทเอเชีย (รวมถึง AOT) ที่มีมูลค่าตลาดติด 10 อันดับแรกของโลก
ส่วนอันดับที่เหลือใน Top 10 บริษัทสนามบินมูลค่าสูงสุดในโลก ดูได้จากอินโฟกราฟิกนี้

เกิดอะไรขึ้นกับหุ้นกลุ่มตระกูล JMART ของ “อดิศักดิ์ สุขุมวิทยา” ที่ราคาทั้ง 5 หลักทรัพย์ JMART SINGER SGC JMT และ J ตั้ง...
01/07/2023

เกิดอะไรขึ้นกับหุ้นกลุ่มตระกูล JMART ของ “อดิศักดิ์ สุขุมวิทยา” ที่ราคาทั้ง 5 หลักทรัพย์ JMART SINGER SGC JMT และ J ตั้งแต่ต้นปี 66 ลดลงฮวบฮาบอย่างหนักเกินกว่า 50% หรือถ้าคิดเป็นมูลค่าแล้วหล่นหายไปตั้งแต่ต้นปีร่วมแสนล้านบาท ขณะเดียวกันนักลงทุนรายใหญ่ที่เคยเข้ามาลงทุนมากหน้าหลายตาต่างหายออกไปเช่นกัน
ล่าสุด “กรุงเทพธุรกิจ” ได้สำรวจ 5 หลักทรัพย์ กลุ่มตระกูล JMART พบว่า ยังมีนักลงทุนรายใหญ่ หรือเซียนหุ้นที่มีชื่อเสียง เหลือเพียง 2 คนเท่านั้น คือ พีรนาถ โชควัฒนา และ ดร.ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา ตั้งแต่ต้นปี 66 จนถึง ณ ปัจจุบัน เงินหายรวมกันกว่า 2,194.03 ล้านบาท
📍ดร.ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา นักลงทุนรุ่นเก๋าสาย VI
ปัจจุบันพบว่า ถือหุ้น JMT ทั้งในนามของดร.ไพบูลย์เอง และในนามของลูกสาว โดย ดร.ไพบูลย์ ถือหุ้นใหญ่ลำดับ 4 จำนวน 26,704,014 หุ้น หรือ 1.83% มูลค่า 907.93 ล้านบาท ขณะที่ น.ส. พิชญ์สินี เสรีวิวัฒนา ถือหุ้นใหญ่ลำดับ 7 จำนวน 16,125,569 หุ้น หรือ 1.10% มูลค่า 548.26 ล้านบาท รวมมูลค่าทั้ง 2 คนเท่ากับ 1,456.20 ล้านบาท (ราคาปิด ณ วันที่ 28 มิ.ย. 66 ที่ 34.00 บาท)
โดยช่วงต้นปี 66 ดร.ไพบูลย์ และลูกสาว ถือหุ้น JMT เท่าเดิมไม่มีการเปลี่ยนแปลง จำนวน 26,704,014 หุ้น หรือ 1.83% คิดเป็นมูลค่า 1,802.52 ล้านบาท และลูกสาว น.ส. พิชญ์สินี จำนวน 16,125,569 หุ้น หรือ 1.10% มูลค่า 1,088.47 ล้านบาท รวมมูลค่าทั้ง 2 คนเท่ากับ 2,890.99 ล้านบาท (คิดตามราคาปิด ณ วันที่ 3 ม.ค. 66 ที่ 67.50 บาท)

ชื่อชั้นของ นายเจริญ สิริวัฒนภักดี หรือ “เจ้าสัวเจริญ”ยังคงเป็นบิ๊กเนมในวงการธุรกิจยักษ์ใหญ่ของเมืองไทย ล่าสุดกลุ่มไทยเบ...
29/06/2023

ชื่อชั้นของ นายเจริญ สิริวัฒนภักดี หรือ “เจ้าสัวเจริญ”ยังคงเป็นบิ๊กเนมในวงการธุรกิจยักษ์ใหญ่ของเมืองไทย ล่าสุดกลุ่มไทยเบฟ ของเจ้าสัวเจริญ ทุ่มเงินถึง 2,000 ล้านบาท เพื่อทำ “สัญญาว่าจ้างผู้ชำนาญการ” ในการควบคุมดูแลการผลิตและปรุงสุรา “หัวเชื้อสุรา” เป็นระยะเวลาจ้างนานถึง 40 ปี
“กรุงเทพธุรกิจ” จะพาไปสำรวจบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ซึ่งอยู่ในเครือ “เจ้าสัวเจริญ” ณ ขณะนี้มีอยู่จำนวน 10 บริษัท มีมูลค่ารวมกว่า 390,056 ล้านบาท

ตลท.ประกาศให้ STARK ขึ้น SP อีกครั้ง ซื้อ-ขายสุดท้าย 30 มิ.ย.นี้ตลาดหลักทรัยพ์ฯ ประกาศแจ้งเตือนนักลงทุนกรณีเปิดซื้อขายหุ...
28/06/2023

ตลท.ประกาศให้ STARK ขึ้น SP อีกครั้ง ซื้อ-ขายสุดท้าย 30 มิ.ย.นี้
ตลาดหลักทรัยพ์ฯ ประกาศแจ้งเตือนนักลงทุนกรณีเปิดซื้อขายหุ้น วันสุดท้ายที่ 30 มิ.ยซช.66 โดยจะขึ้นเครื่องหมาย SP (Suspension) เพื่อสั่งห้ามซื้อหรือขายหลักทรัพย์ STARKอีกครั้งตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค.66 ไปจนกว่าบริษัทจะสามารถดำเนินการแก้ไขเหตุเข้าข่ายอาจถูกเพิกถอน จากเหตุส่วนของผู้ถือหุ้นมีค่าน้อยกว่าศูนย์ และดำเนินการให้บริษัทมีคุณสมบัติเพื่อกลับมาซื้อขายได้ตามปกติ

Amazon Web Services (AWS) ทุ่มงบ 100 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 3.5 พันล้านบาท สำหรับการสร้างศูนย์ ‘Generative AI Innovation...
27/06/2023

Amazon Web Services (AWS) ทุ่มงบ 100 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 3.5 พันล้านบาท สำหรับการสร้างศูนย์ ‘Generative AI Innovation Center’ ออกแบบมาเพื่อช่วยเหลือลูกค้าในการสร้าง และนำผลิตภัณฑ์ปัญญาประดิษฐ์ (AI) พัฒนาแอปสู้คู่แข่ง ‘กูเกิล - ไมโครซอฟท์’
Amazon Web Services (AWS) หน่วยงานด้าน Cloud ของ Amazon (อเมซอน) ได้จัดสรรเงิน 100 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 3.5 พันล้านบาท สำหรับการสร้างศูนย์ ‘Generative AI Innovation Center’ ออกแบบมาเพื่อช่วยเหลือลูกค้าในการสร้าง และนำผลิตภัณฑ์ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่ล้ำสมัยไปใช้ โดยมุ่งเน้นไปที่ภาคส่วนต่างๆ รวมถึงการดูแลสุขภาพ บริการทางการเงิน และการผลิต
AWS กำลังวางแผนสร้างตัวเองเป็นตัวเลือกยอดนิยม สำหรับลูกค้าที่พัฒนาแอปพลิเคชัน AI ซึ่งเป็นการแข่งขันกับ Azure ของ Microsoft และ Google ของ Alphabet ในฐานะหนึ่งในยักษ์ใหญ่ด้านอีคอมเมิร์ซแถวหน้าของโลก ทำให้ Amazon ต้องทะเยอทะยานสู่อาณาจักรแห่งปัญญาประดิษฐ์
🤖 ตั้งศูนย์ AWS generative AI
AWS Generative AI Innovation Center แรงหนุนจากการลงทุนมหาศาลของ Amazon เพื่อส่งเสริมการสร้างแอปพลิเคชันแบบกำหนดเองที่ใช้เทคโนโลยี generative AI ในหลากหลายภาคส่วน รวมถึงการดูแลสุขภาพ บริการทางการเงิน และการผลิต เพื่อขยายขอบเขตของบริการด้านคลาวด์ ซึ่งเป็นบริการพื้นฐานของอเมซอน
ในส่วนหนึ่งของการประกาศล่าสุดอเมซอน ระบุว่า มีแผนเพิ่มนักวิทยาศาสตร์ด้านข้อมูล , วิศวกร , และสถาปนิก ซึ่งแต่เดิม AWS มีการทำงานร่วมกับ Highspot, Twilio, RyanAir และ Lonely Planet อยู่ก่อนแล้ว
🤖มุมมองระยะยาวในการแข่งขัน AI
Adam Selipsky ซีอีโอของ AWS เน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นของอเมซอนในการทำให้เทคโนโลยี AI เชิงสร้างสรรค์เข้าถึงได้มากขึ้นสำหรับฐานลูกค้าที่กว้างขึ้น ย้ำวิสัยทัศน์ในการช่วยให้ลูกค้า "ได้รับจริง" ด้วย AI ตั้งแต่รูปแบบเสียงไปจนถึงแอปพลิเคชันที่จับต้องได้
การจัดตั้ง AWS Generative AI Innovation Center ส่งสัญญาณถึงความเคลื่อนไหวที่แน่วแน่ของอเมซอนในเทคโนโลยี AI
"โดยบริษัทมีมุมมองระยะยาวมากกว่าบริษัทอื่นๆ เสมอ หากเทียบสถานะปัจจุบันของ AI ถือเป็นเพียงไม่กี่ก้าวสู่การวิ่งมาราธอนที่ยาวนาน โดย AI จะเป็นคลื่นลูกใหม่ของนวัตกรรมในระบบคลาวด์ ซึ่งสามารถผลักดันจำนวนลูกค้าในระบบคลาวด์มากขึ้น และตลาดยังต้องการระบบคลาวด์สำหรับ generative AI”
บริษัทต่างๆ ให้ความสนใจ AI และมีความนิยมที่เพิ่มสูงขึ้น จากความสามารถในการสร้างภาพ ข้อความ เสียง และวิดีโอใหม่ โดยการวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมาก
รวมทั้ง Mandeep Singh นักวิเคราะห์จาก Bloomberg Intelligence ประมาณการว่า ตลาด AI อาจเติบโตอย่างแข็งแกร่งมากถึง 42 เปอร์เซ็นต์ และสามารถทำรายได้สูงแตะระดับ 1.3 ล้านล้านดอลลาร์ ภายในปี 2575

สถานการณ์การลงทุนยังคงมีความไม่แน่นอนทั้งในประเทศและต่างประเทศซึ่งมีความผันผวนสูง ทั้งปัจจัยการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลาง...
26/06/2023

สถานการณ์การลงทุนยังคงมีความไม่แน่นอนทั้งในประเทศและต่างประเทศซึ่งมีความผันผวนสูง ทั้งปัจจัยการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางหลาย ๆ ประเทศ ต่อความกังวลภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่อาจจะเกิดขึ้นทั่วโลก
ล่าสุดธนาคารกลางอังกฤษ หรือ BoE ประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.50% สู่ระดับ 5.00% มากกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ก่อนหน้าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพียง 0.25% ถือว่าเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2551 ที่ผ่านมา
จากสถานการณ์ดังกล่าวที่เข้ามารุมเร้าตลาดหุ้นไทยทั้งปัจจัยภายในประเทศและนอกประเทศส่งให้ผลนักลงทุนต่างชาติต่างไม่มั่นใจและไหลออกอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตามจากการสำรวจของ “กรุงเทพธุรกิจ” พบว่า สถาบันการเงินต่างชาติที่เข้ามาถือหุุ้นใหญ่หลากหลายกลุ่มบ่งบอกว่ายังคงเชื่อมั่นต่อการลงทุนในตลาดหุ้นไทย
ทั้งนี้ได้ทำการคัดเลือกหุ้นในกลุ่ม SET100 ที่มาร์เก็ตแคปเกินแสนล้าน และมีสถาบันการเงินต่างชาติที่เข้ามาถือหุ้นใหญ่ เกิน 2 รายได้

ทุกคนรู้ดีว่าร้านกาแฟชื่อก้องโลก “สตาร์บัคส์” เป็นเบอร์ 1 อย่างแข็งแกร่ง มีร้านให้บริการทั่วโลก และยังเป็นแบรนด์ที่ปฏิวั...
25/06/2023

ทุกคนรู้ดีว่าร้านกาแฟชื่อก้องโลก “สตาร์บัคส์” เป็นเบอร์ 1 อย่างแข็งแกร่ง มีร้านให้บริการทั่วโลก และยังเป็นแบรนด์ที่ปฏิวัติวงการร้านกาแฟให้มีสีสัน ความคึกคักในตลาด สร้างวัฒนธรรมการดื่มกาแฟนอกบ้าน ทำให้ “ร้าน” กลายเป็นเหมือนบ้านหลังที่ 3 สถานที่ทำงานแห่งที่ 2 ของผู้คนอีกด้วย
ปี 2566 “สตาร์บัคส์” เดินทางขับเคลื่อนธุรกิจในไทยครบ 25 ปี ซึ่งหากเปรียบเหมือนมนุษย์ นี่คือช่วงเวลาแห่งการเติบโต เรียนรู้สิ่งรอบข้าง เปิดประสบการณ์ และเผชิญความท้าทายต่างๆ มากมาย
การเติบโตอย่างสง่างามอง “สตาร์บัคส์” ไม่เพียงมีรากฐานที่แข็งแกร่ง แต่ “คอกาแฟ” และแฟนๆของแบรนด์มีความสำคัญไม่น้อย เพื่อให้ “สตาร์บัคส์” รังสรรค์สิ่งใหม่ ตอบไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายที่เปลี่ยนไป รวมถึงการ “ยกระดับ” ประสบการณ์ที่ดีอย่างต่อเนื่องด้วย
ทว่า 25 ปี ของ “สตาร์บัคส์” หลายคนอาจหลงลืมเรื่องราว ตำนาน การเดินทางของแบรนด์ไปบ้าง กรุงเทพธุรกิจ ชวนรู้จัก 25 เรื่องราวเกี่ยวกับสตาร์บัคส์ ร้านกาแฟร้านโปรดที่อาจยังไม่รู้
1.ที่มาชื่อแบรนด์ Starbucks เคยสงสัยไหมว่าแบรนด์ “สตาร์บัคส์” ที่เรียกกันมาจากไหน คำตอบคือมาจากนวนิยายเรื่องโมบิดิก (Moby-Dick) หนังสือเล่มโปรดของผู้ก่อตั้งสตาร์บัคส์ทั้ง 3 คน คือ เจอร์รี บัลด์วิน (Jerry Baldwin), เซฟ ซีเกิล (Zev Siegl) และ กอร์ดอน โบว์เกอร์ (Gordon Bowker) ในปี พ.ศ. 2530 ฮาวเวิร์ด ชูลท์ซ (Howard Schultz) อดีตผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดของสตาร์บัคส์ผู้หลงใหลในวัฒนธรรมการดื่มกาแฟ ได้เข้ามาซื้อสตาร์บัคส์และตั้งชื่อว่า “Starbucks Coffee Company”

ผลวิจัยพบชาว “เจน Z” เริ่มลงทุนตั้งแต่อายุไม่ถึง 21 ปี เนื่องจากไม่อยากตกกระแสและต้องการใช้เงิน พร้อมหาความรู้เรื่องการเ...
24/06/2023

ผลวิจัยพบชาว “เจน Z” เริ่มลงทุนตั้งแต่อายุไม่ถึง 21 ปี เนื่องจากไม่อยากตกกระแสและต้องการใช้เงิน พร้อมหาความรู้เรื่องการเงิน และการลงทุนผ่านโซเชียลมีเดียเป็นหลัก
วิบากกรรมชาว “เจน Z” หรือ Gen Z ที่กำลังพบหลายวิกฤติ ทั้งสถานการณ์เงินเฟ้อยังไม่ผ่อนคลาย บวกับความยากและไม่แน่นอนในชีวิต ส่งผลให้หลายๆ คนหันมา “ลงทุน” เร็วกว่าคนรุ่นก่อน โดยเฉพาะใน “คริปโทเคอร์เรนซี” ที่แม้จะไม่ได้คึกคักเท่าเมื่อก่อน แต่ยังสามารถดึงดูดนักลงทุนหน้าใหม่สู่สนามได้เสมอ และดูเหมือนว่าเหล่านักลงทุนจะมีอายุลดน้อยลงเรื่อย ๆ เห็นได้จากผลสำรวจล่าสุดที่ชี้ให้เห็นว่าเหล่า “เจน Z” ในหลายประเทศทั่วโลกต่างพากันเริ่มลงทุนจากตั้งแต่อายุไม่มาก ซึ่งมีสาเหตุหลักมาจากการกลัวตกกระแส และต้องการนำเงินไปใช้จ่าย
📌 เจน Z ลงทุนเพราะเงินไม่พอใช้
การสำรวจล่าสุดโดย สถาบันซีเอฟเอ สถาบันให้บริการการศึกษาด้านการเงินและการลงทุน ร่วมกับ FINRA หน่วยงานกำกับดูแลอุตสาหกรรมการเงิน ทำการสำรวจพฤติกรรมและแรงจูงใจในการลงทุนของกลุ่มชาวเจน X ชาวมิลเลนเนียล และกลุ่มเจน Z จำนวน 2,800 คนใน 4 ประเทศ ได้แก่ สหรัฐ แคนาดา สหราชอาณาจักร และจีน ระหว่างเดือนพ.ย.-ธ.ค. 2022
ผลการวิจัยพบว่า นักลงทุนวัยเจน Z อายุระหว่าง 18-25 ปี ในจีน มากถึง 60% ตัดสินใจลงทุนเพราะไม่อยากตกเทรนด์ หรือที่เรียกว่า FOMO (Fear of Missing Out) ขณะที่ สหรัฐ แคนาดา และสหราชอาณาจักรกว่า 40% ก็เริ่มลงทุนด้วยเหตุผลนี้เช่นกัน
FOMO ยังส่งผลให้ เจน Z ทั่วโลก เริ่มต้นการลงทุนตั้งแต่ยังเด็ก โดยมากกว่า 80% ของ คนชาวเจน Z ในสหรัฐและสหราชอาณาจักรเริ่มลงทุนก่อนอายุ 21 ปี ขณะที่ชาวแคนาดาตามมาติด ๆ ที่ 79% ส่วนจีนอยู่ที่ 63%
หากมองดูในกลุ่มนักลงทุนที่เริ่มลงทุนตั้งแต่ก่อนอายุ 18 ปี พบว่า มีมากที่สุดในสหรัฐถึง 25% ตามมาด้วยสหราชอาณาจักรและแคนาดาที่ 20% ส่วนในจีนนั้นมีเพียง 7% เท่านั้นที่เริ่มลงทุนก่อนอายุ 18 ปี
เมื่อถามถึงสาเหตุว่า ทำไมถึงคิดลงทุน พบว่า คนรุ่นเจน Z ในสหรัฐนิยมลงทุนในสกุลเงินดิจิทัลและหุ้นรายตัวเป็นหลัก เพราะพวกเขาต้องการเงินไปใช้จ่าย โดย 61% ระบุว่าจะนำเงินไปใช้สำหรับท่องเที่ยวและพักผ่อน ขณะที่ 55% ระบุว่า เก็บสำรองไว้เป็นค่าใช้จ่ายที่คาดไม่ถึง รวมไปถึง เก็บไว้ใช้จ่ายหลังเกษียณ และซื้อความสะดวกสบายให้แก่ชีวิต
📌 เจน Z ใช้เทคโนโลยีเป็นหลัก
เนื่องจากเหล่าชาวเจน Z เติบโตมาพร้อมกับสมาร์ทโฟนและอินเทอร์เน็ต พวกเขาจึงเรียนรู้เกี่ยวกับการลงทุนและทักษะทางการเงินผ่านโซเชียลมีเดียเป็นหลัก ถึง 48% โดยค้นหาข้อมูลจาก YouTube มากที่สุด ตามมาด้วย Instagram และ TikTok
ขณะที่ 47% ค้นหาข้อมูลการลงทุนจากเสิร์ชเอนจินต่าง ๆ และอีก 45% ปรึกษาผู้ปกครองและคนในครอบครัว
แม้ว่ากลุ่มคนรุ่นใหม่เหล่านี้จะไม่ได้ศึกษาจากผู้เชี่ยวชาญ หรือตามข่าวสารทางการเงินโดยตรง แต่ราว 68% ของพวกเขากังวลว่าอัตราเงินเฟ้อและค่าครองชีพที่สูงขึ้น จะทำให้พวกเขาไม่มีเงิน จนไม่สามารถทำตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้
สอดคล้องกับการสำรวจของ Deloitte บริษัทให้บริการตรวจสอบทางการเงิน ที่ทำการสำรวจกลุ่ม Gen Z และคนรุ่นมิลเลนเนียลกว่า 22,000 คนทั่วโลก พบว่ากว่าครึ่งที่เงินเดือนแทบไม่พอใช้ ทำให้พวกเขาต้องเลื่อนการตัดสินใจเรื่องสำคัญในชีวิตออกไป ไม่ว่าจะเป็นการซื้อบ้าน หรือการสร้างครอบครัว และต้องหาวิธีการประหยัดเงินให้ได้มากที่สุด (พร้อมช่วยให้สิ่งแวดล้อมไปในตัว) เช่น ซื้อเสื้อผ้ามือสอง หรือ ไม่ขับรถยนต์ส่วนตัว รวมถึงต้องมองหางานเสริมเพื่อให้พอใช้ในแต่ละเดือน
สำหรับงานเสริมที่คนรุ่นใหม่ส่วนใหญ่มองหาจะเป็นงานที่ใช้เทคโนโลยีหรือโซเชียลมีเดียเข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น ขายสินค้าออนไลน์ บริการแชร์รถ รวมไปถึงการลงทุนในคริปโทเคอร์เรนซี นั่นเอง

ที่อยู่

เอ็มไทย ทาวเวอร์ 87 ชั้น 16 ถ. วิทยุ ลุมพินี เขตปทุมวัน
Bangkok
10330

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ Lyndsyผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

แชร์

ตำแหน่งใกล้เคียง บริการภาครัฐ


องค์กรของรัฐ อื่นๆใน Bangkok

แสดงผลทั้งหมด
#}