มูลนิธิปัณฑาเพื่อการศึกษา วิทยาศาสตร์ และสิ่งแวดล้อม - Puntha Foundation

มูลนิธิปัณฑาเพื่อการศึกษา วิทยาศาสตร์ และสิ่งแวดล้อม - Puntha Foundation ส่งเสริมการพัฒนาศักยภาพครูผู้สอนและบุคลากรทางการศึกษาให้มีความรู้
ความชำนาญทางวิชาการ

มูลนิธิปัณฑาเพื่อการศึกษา วิทยาศาสตร์ และสิ่งแวดล้อม เป็นมูลนิธิที่มีวัตถุประสงค์ด้านการส่งเสริมเด็กและครอบครัว

รู้จัก กิ้งกือมังกรสีชมพู หนึ่งเดียวในไทยและในโลก ผลิตสารไซยาไนด์เองได้ 🪱🐍กิ้งกือมังกรสีชมพู สัตว์ดึกดำบรรพ์ที่ยังมีชีวิ...
12/03/2025

รู้จัก กิ้งกือมังกรสีชมพู หนึ่งเดียวในไทยและในโลก ผลิตสารไซยาไนด์เองได้ 🪱🐍
กิ้งกือมังกรสีชมพู สัตว์ดึกดำบรรพ์ที่ยังมีชีวิตอยู่ในป่าประเทศไทย และเป็นสัตว์ที่พบได้แห่งเดียวบนโลก ลำตัวสีชมพูโดดเด่นแบบนี้ น่ารักแต่แฝงไปด้วยพิษร้ายแรง
#กิ้งกือมังกรสีชมพู (Shocking Pink Millipede) มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Desmoxytes purpurosea ถูกค้นพบในปีพ.ศ. 2550 โดย ศ.ดร.สมศักดิ์ ปัญหา จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งการค้นพบครั้งนั้น กลายเป็นการค้นพบสัตว์ชนิดใหม่ของโลก และได้ถูกตั้งชื่อว่า "กิ้งกือมังกรสีชมพู" ในเวลาต่อมา และเมื่อวันที่ 23 พฤษาภาคม 2551 สถาบันไอไอเอสอี (International Institute of Species Exploration : IISE) แห่งมหาวิทยาลัยรัฐแอริโซนา สหรัฐอเมริกา ได้ประกาศยืนยันให้กิ้งกือมังกรสีชมพู ที่หุบป่าตาด นี้เป็นสุดยอดของการค้นพบสิ่งมีชีวิตชนิดใหม่ อันดับที่สามของโลก
ลักษณะเด่นของกิ้งกือ

สิ่งที่โดดเด่นที่สุดและไม่เหมือนใครของกิ้งกือเหล่านี้คือสีประจำตัวที่เป็นสีชมพู ที่กลายมาเป็นชื่อ Shocking pink ลำตัวมีปุ่มหนามและลวดลายคล้ายมังกร เลยจัดอยู่ในวงศ์กิ้งกือมังกร หรือ พาราดอกโอโวมาติเดีย (Paradoxosomatidea) เมื่อกิ้งกือตัวโตเต็มวัย จะมีความยาวประมาณ 7 เซนติเมตร มีปล้อง 20-40 ปล้อง

พบได้ที่ไหน?

เราสามารถเจอะเจอกับเจ้ากิ้งกือได้แค่สถานที่เดียว นั่นคือ หุบเขาป่าตาด ป่าดึกดำบรรพ์ที่ตั้งอยู่ในเขตห้ามล่าสัตว์ป่าถ้ำประทุน ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 12 (นครสวรรค์) มีเนื้อที่ประมาณ 4 ไร่ ตั้งอยู่ที่บ้านชายเขา หมู่ที่ 3 ตำบลทุ่งนางาม อำเภอลานสัก จังหวัดอุทัยธานี

ข้อควรระวัง

กิ้งกือ แม้จะดูเป็นสัตว์ขนาดเล็กที่ไม่มีอันตรายใด ๆ แต่ไม่ใช่สำหรับกิ้งกือมังกรชมพู เพราะกิ้งกือมังกรชมพูมีระบบป้องกันตนเองจากศัตรู ด้วยการปล่อยสารพิษประเภทไซยาไนด์ ออกมาจากต่อมขับพิษข้างลำตัว

ที่มาข้อมูล : ประชาสัมพันธ์ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช

#ปัณฑาเพื่อการศึกษา #สัตว์ป่า #สัตว์ป่าคุ้มครอง #กิ้งกือ #กิ้งกือสีชมพู #สัตว์ดึกดำบรรพ์ #สัตว์เลื้อยคลาน #กิ้งกือมังกร #มังกรสีชมพู

รู้จัก "กำแพงเก้าชั้น" ไม้เถาชื่อประหลาดสรรพคุณสมุนไพรล้น 🌿🌱🎋🍀🪴🎍🌾กระดอเย็น เป็นชื่อที่ชาวบ้านเรียกแต่ชื่อเรียกทางการคือก...
11/03/2025

รู้จัก "กำแพงเก้าชั้น" ไม้เถาชื่อประหลาดสรรพคุณสมุนไพรล้น 🌿🌱🎋🍀🪴🎍🌾
กระดอเย็น เป็นชื่อที่ชาวบ้านเรียกแต่ชื่อเรียกทางการคือกำแพงเก้าชั้น ตอนนี้กรมป่าไม้ เตรียมขยายต้นกล้า และแจกจ่ายไปปลูกตามขอบป่าโดยหนึ่งในสรรพคุณคือลดฮอร์โมนในคนและลดอาการตกมันในช้าง
ต้นกระดอเย็นเป็นไม้เถาที่พบมากในพื้นที่ จ.ตรัง และภาคตะวันออกมีสรรพคุณในการบำรุงร่างกาย และลดฮอร์โมน เป็นยารักษาโรคได้หลายขนาน ทั้งบำรุงโลหิต ตับแก้น้ำเหลือง บำรุงร่างกาย ปวดเมื่อย ยาระบาย
#เตรียมนำออกจากป่ามาปลูกขยายพันธุ์
จากสรรพคุณที่บอกเล่ากันมา นอกจากกรมป่าไม้ จะนำเมล็ดพันธุ์จากธรรมชาติมาเพาะขยายพันธุ์เพื่อเพิ่มจำนวน เป้าหมายแรกคือการส่งมอบกล้าไม้ชุดแรกให้กับวัดนำร่อง 10 แห่งภายใต้โครงการธรรมจักรสีเขียว ซึ่งเป็นวัดที่อยู่ในเขตป่าแต่สามารถดูแลรักษาป่าเป็นอย่างดีต่อจากนั้นหากได้ปริมาณเพียงพอถึงจะนำไปแจกจ่ายให้ประชาชนนำไปปลูก

นอกจากนี้ เตรียมนำร่องแจกจ่ายให้ปลูกขอบป่าที่มีปัญหาช้างออกนอกพื้นที่ เช่น ป่าตะวันออก 5 จังหวัดเพื่อลดอาการตกมันในช้าง แต่ยังไม่ชัดว่าจะลดความดุร้ายของช้างได้หรือไม่ ซึ่งยังอยู่ในขั้นการศึกษา

รู้จักกระดอเย็น : กำแพงเก้าชั้น
เป็นไม้เถาขนาดใหญ่พาดพันไปตามต้นไม้ใหญ่ยาวประมาณ 5 เมตรเปลือกต้นมีสีน้ำตาลหรือสีน้ำตาลเทา เปลือกด้านในสีแดง ผิวค่อนข้างขรุขระ เนื้อไม้สีแดงอ่อน มีน้ำยางสีแดง มีวงปีสีแดงเข้มซ้อนกันถี่ๆคล้ายกำแพงล้อมไว้และมีจำนวนชั้นมากจึงชื่อว่ากำแพงเก้าชั้น

ใบเดี่ยว เรียงสลับตรงข้าม รูปใบหอกกว้าง 2-3 ซม.ยาว 10-20 ซม.ปลายและโคนใบแหลม ขอบใบเรียบ เส้นใบเล็กลึก ก้านใบเล็ก เรียวแข็งแรง มันเรียบแผ่นใบหนาคล้ายแผ่นหนัง หลังใบผิวมันมีหูใบ

ประโยชน์ เนื้อไม้มีรสฝาด เป็นยาถ่ายของเสียออกจากร่างกาย ระบายลมร้ายแก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ ขับลมเป็นระบาย บำรุงเอ็น บำรุงเส้น บำรุงตับไต บำรุงกำลัง บำรุงร่างกาย บำรุงโลหิต แก้โลหิตจาง แก้โลหิต น้ำเหลืองพิการ แก้ระดูขาว แก้กระษัย ไตพิการ แก้ปวดเมื่อย

ที่มา: https://www.thaipbs.or.th/news/content/349884

#ปัณฑาเพื่อการศึกษา #พืช #กำแพงเก้าชั้น #ไม้เถา #กระดอเย็น #สมุนไพร #กรมป่าไม้

 #เปิดภาพหายาก "นกหว้า" พญาระกาแห่งผืนป่าภาคใต้ 🌿☘️🦅🐦🪶🦤🦚🦜🕊🐦‍⬛กล้องดักถ่ายสัตว์ป่า บันทึกภาพหายาก "นกหว้า" พญาระกาแห่งผืน...
10/03/2025

#เปิดภาพหายาก "นกหว้า" พญาระกาแห่งผืนป่าภาคใต้ 🌿☘️🦅🐦🪶🦤🦚🦜🕊🐦‍⬛
กล้องดักถ่ายสัตว์ป่า บันทึกภาพหายาก "นกหว้า" พญาระกาแห่งผืนป่าภาคใต้ ที่อุทยานแห่งชาติแก่งกรุง จ.สุราษฎร์ธานี สะท้อนความอุดมสมบูรณ์ผืนป่า
นายกิตติศักดิ์ ชูแก้ว หัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกรุง จ.สุราษฎร์ธานี​ เปิดเผยความสำเร็จครั้งสำคัญในการอนุรักษ์สัตว์ป่าหายาก หลังกล้องดักถ่ายสัตว์ป่า (Camera Trap) ของโครงการความร่วมมือระหว่างอุทยานฯ และองค์การกองทุนสัตว์ป่าโลกสากล (WWF) สามารถบันทึกภาพ "นกหว้า" นกหายากที่ได้รับการขนานนามว่าเป็น "พญาระกา" หรือ "ไก่ป่าแห่งป่าใต้" ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติแก่งกรุง​

การพบนกหว้าในครั้งนี้ ถือเป็นสัญญาณที่ดีอย่างยิ่งต่อระบบนิเวศของผืนป่าภาคใต้​ เนื่องจากนกหว้าเป็นสัตว์ป่าที่มีความเปราะบางต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม จึงเป็นดัชนีชี้วัดความอุดมสมบูรณ์ของป่าได้เป็นอย่างดี​
นกหว้า (Argusianus argus) เป็นนกในวงศ์ไก่ฟ้าที่มีขนาดใหญ่ โดดเด่นด้วยลวดลายขนที่สวยงามคล้ายตาของยักษ์อาร์กัสในตำนานกรีก ตัวผู้มีขนหางยาวพิเศษและลวดลายคล้ายตาบนปีกที่ใช้ในการเกี้ยวพาราสี นกหว้า​ จัดเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองประเภทนกในลำดับที่ 762 ตาม พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.2562 The IUCN Red List of Threatened Species จัดให้อยู่ในกลุ่ม Vulnerable (VU) มีแนวโน้มใกล้สูญพันธุ์​ ตามบัญชีแดงของสหภาพนานาชาติเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ (IUCN)

ปัจจุบันนกหว้าพบได้น้อยมากในป่าดิบชื้นทางภาคใต้ของไทย มาเลเซีย และบางส่วนของเกาะสุมาตรา ด้วยพฤติกรรมขี้อายและชอบอาศัยในป่าทึบ จึงยากต่อการพบเห็นและศึกษาในธรรมชาติ การใช้เทคโนโลยีกล้องดักถ่ายเป็นวิธีการที่มีประสิทธิภาพในการสำรวจสัตว์ป่าที่หายากโดยไม่รบกวนพฤติกรรมตามธรรมชาติ ภาพที่ได้จะนำไปใช้ในการศึกษาประชากร พฤติกรรม และถิ่นที่อยู่อาศัยของนกหว้า เพื่อวางแผนการอนุรักษ์ที่มีประสิทธิภาพต่อไป

ที่มา : https://www.thaipbs.or.th/news/content/349914

#ปัณฑาเพื่อการศึกษา #สัตว์ป่า #สัตว์ป่าคุ้มครอง #นกหว้า #นก #อนุรักษ์ธรรมชาติ #พญาระกา #อุทยานแห่งชาติแก่งกรุง

จับกุม! หญิงอินเดียพยายามลักลอบนำสัตว์ป่าออกนอกประเทศที่สนามบินดอนเมืองเจ้าหน้าที่ด่านตรวจสัตว์ป่าท่าอากาศยานดอนเมืองประ...
06/03/2025

จับกุม! หญิงอินเดียพยายามลักลอบนำสัตว์ป่าออกนอกประเทศที่สนามบินดอนเมือง
เจ้าหน้าที่ด่านตรวจสัตว์ป่าท่าอากาศยานดอนเมืองประสบความสำเร็จในการสกัดจับการลักลอบขนส่งสัตว์ป่า เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2568 หลังได้รับแจ้งจากพนักงานสายการบินแอร์เอเชียว่าพบผู้โดยสารพยายามนำสัตว์ป่าออกนอกประเทศ จึงได้นำทีมร่วมกับเจ้าหน้าที่ศุลกากร
นางสาวกนกวรรณ แก้วปกาศิต หัวหน้าด่านตรวจสัตว์ป่าท่าอากาศยานดอนเมือง เปิดเผยว่า ผู้ต้องหาคือ นางสาวมายนา (สงวนนามสกุล) อายุ 44 ปี สัญชาติอินเดีย ซึ่งเตรียมเดินทางโดยเที่ยวบิน FD 137 ไปยังเมืองบังคาลอร์ ประเทศอินเดีย คาดว่ามีผู้ร่วมขบวนการในการกระทำครั้งนี้
จากการตรวจสอบกระเป๋าเดินทางสีดำของผู้ต้องหา เจ้าหน้าที่พบสัตว์ป่าถูกซุกซ่อนอย่างแนบเนียน ประกอบด้วย คัสคัสลายจุดธรรมดา (Common Spotted Cuscus) 1 ตัว บรรจุในตะกร้าพลาสติกและ ลิงมาโมเซท (Marmoset Monkey) 2 ตัว ซ่อนในกล่องพลายติกใสเจาะรูระบายอากาศ
เจ้าหน้าที่แจ้งข้อกล่าวหาแก่ผู้ต้องหาในความผิดหลายกระทง ได้แก่ พยายามส่งออกสัตว์ป่าควบคุมโดยไม่ได้รับอนุญาต ตาม พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่านำสัตว์ออกนอกราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต ตาม พ.ร.บ.โรคระบาดสัตว์และพยายามส่งออกสินค้าต้องห้ามที่ยังไม่ผ่านพิธีการศุลกากร ตาม พ.ร.บ.ศุลกากร
การจับกุมครั้งนี้เป็นไปตามนโยบายของ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ที่สั่งให้เข้มงวดปราบปรามการลักลอบค้าและล่าสัตว์ป่าทุกรูปแบบอย่างเด็ดขาด ทั้งการเลี้ยงสัตว์ป่าผิดกฎหมาย การค้าออนไลน์ การค้าตามแนวชายแดน และการลักลอบนำเข้าส่งออกสัตว์ป่า ทั้งนี้ สำหรับการควบคุมตัวผู้ต้องหาได้ดำเนินการตามขั้นตอนและวิธีที่กำหนดไว้ในกฎหมายอย่างเคร่งครัด พร้อมทั้งนำของกลางสัตว์ป่ามีชีวิตส่งให้กรมอุทยานฯ เพื่อดูแลรักษาต่อไป.
ข้อมูล​ : ด่านตรวจสัตว์ป่าท่าอากาศยานดอนเมือง
อ่านเพิ่มเติม
http://news.dnp.go.th/news/30622
#ปัณฑาเพื่อการศึกษา #สัตว์ป่า #การเลี้ยงสัตว์ป่าผิดกฎหมาย #ลักลอบนำเข้าสัตว์ป่า

เจ้าหน้าที่ด่านตรวจสัตว์ป่าท่าอากาศยานดอนเมืองประสบความ

ปลาพลวง ดัชนีสุขภาพป่าไม้ และแนวทางการอนุรักษ์"ปลาพลวง (Neolissochilus spp.) เป็นปลาที่อยู่ในวงศ์ปลาตะเพียน มีลักษณะเกล็...
31/01/2025

ปลาพลวง ดัชนีสุขภาพป่าไม้ และแนวทางการอนุรักษ์
"ปลาพลวง (Neolissochilus spp.) เป็นปลาที่อยู่ในวงศ์ปลาตะเพียน มีลักษณะเกล็ดขอบเรียบ มีก้างในเนื้อจำนวนมาก ครีบหูอยู่ในระดับต่ำ มีครีบหลังตอนเดียว ไม่มีฟันที่ขากรรไกร แต่มีฟันในหลอดคอ ประเทศไทยพบปลาพลวงทั้งหมด 6 ชนิด ได้แก่ ปลาพลวงหิน (Neolissochilus stracheyi) พบแพร่กระจายทั่วประเทศ ปลาพลวงถ้ำ (N. subterraneous) พบเฉพาะในถ้ำที่จังหวัดเพชรบูรณ์ ปลาพลวงใต้ (N. paucisquamatus) พบในภาคใต้ ปลาพลวงสุมาตรา (N. sumatranus) พบในภาคใต้และภาคตะวันออก ปลาพลวงแถบดำ (N. vittatus) พบยากและพบเฉพาะในลุ่มน้ำสาละวิน จังหวัดแม่ฮ่องสอน และปลาพลวงตะวันตก (N. soroides) พบตั้งแต่ภาคใต้ขึ้นมาจนถึงลุ่มน้ำแม่กลอง

ปลาพลวงมักอาศัยอยู่ในวังน้ำลึกบริเวณที่มีกิ่งก้านของต้นไม้ใหญ่ปกคลุม โดยเฉพาะต้นที่มีผลหล่นลงมาให้ปลากินได้ เช่น ต้นมะเดื่อ ปลาจะอาศัยร่วมกันเป็นฝูง มีการแบ่งชั้นตามขนาดของปลา ทั้งตัวใหญ่และเล็กต่างอยู่ในพื้นที่เดียวกันได้ ปลาพลวงจะว่ายไปวางไข่ในพื้นที่ต้นน้ำ ให้ลูกปลาเติบโตในลำธารขนาดเล็กที่มีแหล่งอาหารและที่หลบภัยจากศัตรูธรรมชาติ

ปลาพลวงเป็นปลาต้นน้ำจึงมีบทบาทสำคัญในระบบนิเวศ คือ เป็นตัวบ่งชี้ถึงความอุดมสมบูรณ์ของแหล่งน้ำ หากมีการตัดไม้ทำลายป่าในพื้นที่ต้นน้ำก็จะส่งผลโดยตรงต่อถิ่นที่อยู่อาศัยของปลาพลวง ซึ่งอาจทำให้จำนวนประชากรปลาพลวงลดลง

มีความเชื่อว่าปลาพลวงเป็นปลาศักดิ์สิทธิ์ กินแล้วจะเกิดผลร้าย นับเป็นกลยุทธ์ที่ทำให้ประชาชนช่วยกันดูแลและไม่จับปลาชนิดนี้ การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศอย่างฉับพลันส่งผลกระทบโดยตรงต่อการอยู่รอดของสิ่งมีชีวิตในแหล่งน้ำ จังหวัดแม่ฮ่องสอนซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีความหลากหลายทางชีวภาพสูง และมีปลาน้ำจืดชนิดสำคัญ ได้แก่ ปลาพลวงหิน กำลังเผชิญกับปัญหาการเสื่อมโทรมของแหล่งที่อยู่อาศัยและจำนวนประชากรที่ลดลงจากการเปลี่ยนแปลงของระบบนิเวศที่ถูกคุกคาม

แหล่งอาศัยของปลาพลวงหินเป็นพื้นที่ท่องเที่ยวเชิงนิเวศที่สำคัญ เช่น อุทยานแห่งชาติถ้ำปลา-น้ำตกผาเสือ ศูนย์ศึกษาธรรมชาติและสัตว์ป่าถ้ำน้ำลอด รวมถึงป่าต้นน้ำในจังหวัดแม่ฮ่องสอน ซึ่งสร้างรายได้ให้แก่ชุมชนท้องถิ่นและส่งเสริมความเข้าใจเกี่ยวกับความสำคัญของการอนุรักษ์ธรรมชาติ ด้วยเหตุนี้จึงมีความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องดำเนินการอนุรักษ์ความหลากหลายของปลาพลวงหินอย่างยั่งยืน การวิจัยทางพันธุศาสตร์และการศึกษาแบบจำลองแหล่งที่อยู่อาศัยจึงมีบทบาทสำคัญในการคาดการณ์ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศและการตอบสนองของปลาพลวงหิน อีกทั้งช่วยในการกำหนดแนวทางการอนุรักษ์พันธุกรรมของปลาพลวงหินอีกด้วย

การวางแนวการอนุรักษ์ปลาพลวงหินอย่างยั่งยืนไม่เพียงแต่อาศัยการศึกษาวิจัยทางวิทยาศาสตร์ แต่ยังต้องการความร่วมมือจากคนท้องถิ่น ดังนั้นการรณรงค์ให้คนท้องถิ่นตระหนักถึงสิ่งแวดล้อม การช่วยกันรับผิดชอบต่อการใช้ชีวิตริมแม่น้ำและแหล่งน้ำ เช่น การรักษาความสะอาดแหล่งน้ำ การทำความสะอาดพื้นที่ชุมชนใกล้แหล่งน้ำ เนื่องจากปลาพลวงหินมีแหล่งที่อยู่อาศัยตามแหล่งน้ำที่สะอาดเท่านั้น นอกจากนี้ปริมาณน้ำฝนที่ตกก็มีผลสำคัญต่อการอยู่อาศัยของปลาพลวงหิน โดยจากข้อมูลดีเอ็นเอแสดงให้เห็นว่าปลาพลวงหินจากแหล่งน้ำต่าง ๆ ในจังหวัดแม่ฮ่องสอน มีความหลากหลายทางพันธุกรรมที่อยู่ในสภาพที่เหมาะสม ซึ่งเป็นข่าวดีสำหรับการวางแผนการอนุรักษ์ในอนาคต อีกประเด็นที่สำคัญคือการจัดกิจกรรมให้ความรู้เพื่อสร้างความตระหนักถึงผลกระทบจากกิจกรรมของมนุษย์ต่อการอยู่รอดของปลาพลวงหิน เช่น การลดการรบกวนพื้นที่ต้นน้ำ ซึ่งเป็นพื้นที่สำคัญสำหรับการวางไข่ของปลาพลวงหิน เป็นหัวใจสำคัญของการอนุรักษ์ปลาพลวงหินอย่างยั่งยืนเช่นกัน นอกจากนี้การสนับสนุนชุมชนท้องถิ่น เช่น การซื้อสินค้าจากธุรกิจที่ร่วมอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ก็ช่วยปกป้องบ้านของปลาพลวงหินได้"

แหล่งข้อมูลอ้างอิง Pongsanarm, T., Panthum, T., Budi, T., Wongloet, W., Chaiyes, A., Thatukan, C., Jaito, W., Patta, C., Singchat, W., Duengkae, P., Muangmai, N., Wangwon, K., & Srikulnath, K. (2024). Genetic and geographical insights call for early conservation of Mae Hong Son’s blue mahseer to prevent population crisis. PLOS ONE. In press

#ปัณฑาเพื่อการศึกษา #เรื่องน่ารู้ #ธรรมชาติ #ปลา #ปลาพลวงหิน #การผจญภัยในธรรมชาติ #สำรวจธรรมชาติ #เรียนรู้จากธรรมชาติ #อนุรักษ์ #ปลาต้นน้ำ

นักสิ่งแวดล้อมเผยพบสัตว์ใกล้สูญพันธุ์ที่ไม่เคยพบมาก่อนในกัมพูชาหลายชนิดทั้งเก้งยักษ์ กิ้งก่าแก้ว "เอเอฟพี – การสำรวจอุทย...
30/01/2025

นักสิ่งแวดล้อมเผยพบสัตว์ใกล้สูญพันธุ์ที่ไม่เคยพบมาก่อนในกัมพูชาหลายชนิดทั้งเก้งยักษ์ กิ้งก่าแก้ว "เอเอฟพี – การสำรวจอุทยานแห่งชาติกัมพูชาเป็นเวลาหลายปีทำให้ได้พบสัตว์ใกล้สูญพันธุ์ที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อนในประเทศ ที่เป็นการเน้นย้ำถึงความจำเป็นของความพยายามในการอนุรักษ์มากยิ่งขึ้น นักสิ่งแวดล้อมระบุ

การสำรวจที่ซับซ้อนทำให้ค้นพบสัตว์ต่างๆ ตั้งแต่ตัวนิ่มไปจนถึงเก้งยักษ์ที่ใกล้สูญพันธ์อย่างยิ่ง ในอุทยานแห่งชาติวีรชัย ที่เป็นแหล่งความหลากหลายทางชีวภาพที่ยังไม่ถูกแตะต้องมากนัก

อุทยานแห่งนี้ที่มีพื้นที่กว่า 405,000 เฮกตาร์ ทอดยาวไปทั่วภาคตะวันออกเฉียงเหนือของกัมพูชา ที่มีพรมแดนติดกับลาวและเวียดนาม

กล้องมากกว่า 150 ตัวถูกติดตั้งระหว่างการสำรวจ ที่ยังได้รับความช่วยเหลือจากชุมชนท้องถิ่นบันทึกหลักฐานเกี่ยวกับสัตว์และพืชในพื้นที่คุ้มครอง

การสำรวจดังกล่าวพบสิ่งมีชีวิตทั้งหมด 89 ชนิด รวมถึงสัตว์ป่าใกล้สูญพันธุ์ 20 ชนิด เช่น ค่างห้าสี ลิ่นซุนดา เสือลายเมฆ หมาใน และหมีหมา ตามรายงานขององค์กรอนุรักษ์ Fauna & Flora ที่เป็นผู้นำการสำรวจ นอกจากนี้ ยังพบสัตว์ 9 ชนิดที่ไม่เคยพบในกัมพูชามาก่อน เช่น เก้งยักษ์ ที่เป็นสัตว์ใกล้สูญพันธุ์อย่างยิ่ง กิ้งก่าแก้ว และจิ้งจกดิน

การค้นพบดังกล่าวตอกย้ำถึงความสำคัญของอุทยานในฐานะแหล่งความหลากหลายทางชีวภาพที่แข็งแกร่ง และเป็นหลักฐานที่จะกระตุ้นให้เกิดความพยายามในการอนุรักษ์ที่เพิ่มมากขึ้น ผู้อำนวยการโครงการ Fauna & Flora ประจำกัมพูชา กล่าว

อุทยานแห่งนี้ที่เป็นส่วนหนึ่งของผืนป่าที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นแหล่งรวมความหลากหลายทางชีวภาพ แหล่งดูดซับคาร์บอนที่สำคัญ และเป็นที่อยู่อาศัยของชุมชนพื้นเมืองที่มีความหลากหลาย

อย่างไรก็ตาม ผู้อำนวยการโครงการเตือนว่าภูมิภาคนี้กำลังเผชิญกับแรงกดดันที่เพิ่มขึ้นจากการทำลายแหล่งที่อยู่อาศัยตามธรรมชาติ ที่มักจะเป็นเพื่อการเกษตร โครงสร้างพื้นฐาน และการใช้ที่ดินอื่นๆ

การดักจับสัตว์เป็นปัญหาสำคัญอีกหนึ่งประการที่ทำให้เกิดภาวะป่าว่างเปล่าในบางพื้นที่ ที่สัตว์ป่า โดยเฉพาะสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดกลางและขนาดใหญ่ถูกผลักดันให้สูญพันธุ์

นักสิ่งแวดล้อมเตือนว่าในพื้นที่อื่นๆ ของประเทศ สิ่งมีชีวิตมากกว่า 500 ชนิดในเขตเทือกเขากระวานตอนกลางก็เผชิญกับภัยคุกคามมากมาย ตั้งแต่การตัดไม้และล่าสัตว์ผิดกฎหมาย ไปจนถึงขุดลอกทราย รัฐบาลถูกวิพากษ์วิจารณ์ที่อนุญาตให้บริษัทต่างๆ เข้าถางป่าหลายแสนเฮกตาร์ในประเทศ รวมถึงในเขตคุ้มครอง เพื่อดำเนินโครงการตั้งแต่การทำสวนยาง ไร่อ้อย ไปจนถึงเขื่อนผลิตไฟฟ้าพลังงานน้ำ"

ที่มา : MGR Online (https://mgronline.com/indochina/detail/9680000006959)

#ปัณฑาเพื่อการศึกษา #เรื่องน่ารู้ #ธรรมชาติ #กิ้งก่า #สิ่งแวดล้อม #สัตว์ #ใกล้ศูนย์พันธ์ #กิ้งก่าแก้ว #การผจญภัยในธรรมชาติ
#อุทยาน #นักสิ่งแวดล้อม # # #

"🌿🦜 Outdoor Explorer: Boundless Bird 🌿🦜"มาร่วมสัมผัสประสบการณ์การสำรวจธรรมชาติในกิจกรรม ""Outdoor Explorer: Boundless Bi...
27/01/2025

"🌿🦜 Outdoor Explorer: Boundless Bird 🌿🦜"
มาร่วมสัมผัสประสบการณ์การสำรวจธรรมชาติในกิจกรรม ""Outdoor Explorer: Boundless Bird"" กันเถอะ! เราจะพาไปค้นหานกหลากหลายชนิดในพื้นที่ธรรมชาติที่กว้างใหญ่ ร่วมเรียนรู้และสนุกกับการสังเกตพฤติกรรมของนก พร้อมทั้งเปิดโลกใหม่ของการสำรวจและการเชื่อมโยงกับธรรมชาติ! ✨ มาสัมผัสความงามของธรรมชาติและเรียนรู้เกี่ยวกับนกพันธุ์ต่างๆ ในบรรยากาศที่สดชื่นและเป็นกันเอง พบกับประสบการณ์ที่น่าสนใจและการเรียนรู้นอกห้องเรียนที่จะทำให้คุณประทับใจ ✨ 📅 วันที่ : 6 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 9:00-12:00 📍 สถานที่: สวนเบญจศิริ อย่าพลาด! มาเรียนรู้และสนุกไปกับธรรมชาติไปพร้อมกันนะคะ 😊🌳

เตรียมตัวให้พร้อม! ร่วมเดินทางไปกับเราในการผจญภัยครั้งนี้ 🌳🦉"

#ปัณฑาเพื่อการศึกษา #เรื่องน่ารู้ #ธรรมชาติ #การผจญภัยในธรรมชาติ #สำรวจธรรมชาติ #เรียนรู้จากธรรมชาติ #กิจกรรมสำหรับทุกคน #กิจกรรมส่องนก #ร่วมสนุก #นก #กิจกรรมนอกห้องเรียน

แผนอนุรักษ์แรดสุมาตราสถานะของแรดสุมาตราในปัจจุบันกำลังเข้าขั้นวิกฤติใกล้สูญพันธุ์ คาดกันว่ามีแรดสุมาตราเหลือบนโลกเพียงแค...
24/01/2025

แผนอนุรักษ์แรดสุมาตรา
สถานะของแรดสุมาตราในปัจจุบันกำลังเข้าขั้นวิกฤติใกล้สูญพันธุ์ คาดกันว่ามีแรดสุมาตราเหลือบนโลกเพียงแค่ 80 ตัวเท่านั้นบนเกาะสุมาตรา และเกาะบอร์เนียวฝั่งอินโดนีเซีย ปกติแล้วแรดสุมาตราเป็นสัตว์สันโดษ และจะจับคู่ก็ต่อเมื่อถึงฤดูผสมพันธุ์เท่านั้น ทว่าประชากรแรดที่แยกจากกันอย่างโดดเดี่ยวนี้กำลังกลายมาเป็นปัญหาใหญ่ ด้วยจำนวนแรดในธรรมชาติที่น้อยลง หากแรดตัวเมียนั้นๆ ไม่ถูกจับคู่ผสมพันธุ์เป็นเวลานาน พวกมันจะสูญเสียความสามารถในการเจริญพันธุ์ไปในที่สุดเมื่อไม่มีลูก นั่นหมายความว่าประชากรแรดสุมาตรามีแต่จะยิ่งลดลงเรื่อยๆ

หน่วยงานอนุรักษ์หลายหน่วยงาน ซึ่งในจำนวนนี้รวมไปถึงสมาคมเนชั่นแนล จีโอกราฟฟิกด้วย กำลังร่วมมือกันเพื่อปกป้องสายพันธุ์นี้ไว้ โปรเจคดังกล่าวมีชื่อว่า “Sumatran Rhino Rescue” เป้าหมายเพื่อย้ายแรดสุมาตราในธรรมชาติไปยังเขตรักษาพันธุ์ใกล้ๆ เพื่อให้พวกมันผสมพันธุ์กัน และเมื่อจำนวนประชากรของแรดสุมาตราเพิ่มขึ้นในอัตราที่คลายความกังวลลงแล้ว จึงค่อยปล่อยพวกมันกลับสู่ธรรมชาติ

ทั้งนี้สาเหตุใหญ่ที่ทำให้จำนวนประชากรของแรดสุมาตราลดลงอย่างมากก็คือการล่าเอานอ ซึ่งมีค่ามากตามความเชื่อของการแพทย์แผนจีน นอกจากนั้นพวกมันยังเผชิญกับการถูกคุกคามถิ่นอาศัยจากอุตสาหกรรมป่าไม้และเกษตรกรรม
แหล่งที่มา https://ngthai.com/wildlife/14242/sumatran-rhinos-are-nearly-gone/
#ปัณฑาเพื่อการศึกษา #เรื่องน่ารู้ #ธรรมชาติ #แรด #ใกล้สูญพันธุ์

น้ำผึ้งดีต่อสุขภาพคุณจริงหรือไม่ ?น้ำผึ้งเป็นน้ำหวานสีทองที่ผึ้งเก็บจากดอกไม้แล้วนำไปเก็บเป็นน้ำหวานไว้ในรังของพวกมันสำห...
22/10/2024

น้ำผึ้งดีต่อสุขภาพคุณจริงหรือไม่ ?
น้ำผึ้งเป็นน้ำหวานสีทองที่ผึ้งเก็บจากดอกไม้แล้วนำไปเก็บเป็นน้ำหวานไว้ในรังของพวกมันสำหรับฤดูหนาว ในกรีกโบราณ น้ำผึ้งถูกอธิบายว่าเป็น 'อาหารของเทพเจ้า' และในจีน น้ำผึ้งถูกจัดว่าเป็นยาชนิดหนึ่ง
สารอาหารในน้ำผึ้งมีอะไรบ้าง
น้ำผึ้งดิบประกอบด้วยกรดอะมิโน สารต้านอนุมูลอิสระ วิตามิน แร่ธาตุ และน้ำตาล น้ำผึ้งหวานกว่าน้ำตาลเนื่องจากมีปริมาณฟรุกโตสสูง แต่ค่าดัชนีน้ำตาล (glycemic index - GI) ของมันซึ่งเป็นค่าตัวเลขสำหรับอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตอยู่ในระดับกลาง

GI เป็นมาตรฐานที่วัดเป็นตัวเลขว่า การบริโภคอาหารเฉพาะชนิดนั้นส่งผลต่อระดับน้ำตาลในเลือด (กลูโคส) อย่างรวดเร็วเพียงใดเมื่อบริโภคเพียงอย่างเดียว

องค์ประกอบของน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ (20 กรัม) มีดังนี้:

58 กิโลแคลอรี (kcal) หรือ 246 กิโลจูล (KJ)
คาร์โบไฮเดรต 15.3 กรัม
โปรตีน 0.1 กรัม
ไขมัน 0 กรัม

ประโยชน์ของน้ำผึ้งมีอะไรบ้าง ?
ประโยชน์ต่อสุขภาพของน้ำผึ้งขึ้นอยู่กับทั้งคุณภาพของดอกไม้ที่ผึ้งเก็บ และวิธีการแปรรูปน้ำผึ้ง น้ำผึ้งดิบที่ยังไม่ได้ผ่านการให้ความร้อน การพาสเจอไรซ์ การกลั่น หรือการกรอง จึงมีสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพมากกว่าน้ำผึ้งที่ถูกแปรรูปที่อาจสูญเสียไปในระหว่างการแปรรูปมาตรฐาน
ในขณะเดียวกัน น้ำผึ้งยังถูกใช้เป็นยาฆ่าเชื้อมานานหลายปี น้ำผึ้งเป็นที่รู้จักว่าช่วยรักษาบาดแผลพื้นผิวเล็กน้อย แผลพุพอง และแผลไหม้ให้หายเร็วขึ้น เนื่องจากน้ำผึ้งประกอบด้วยกลูโคสและฟรุกโตส ซึ่งเป็นน้ำตาลที่ดึงดูดน้ำได้ดีมาก ทำให้น้ำผึ้งสามารถดูดซับความชื้นจากบาดแผลและทำให้แผลแห้ง ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียและเชื้อรา

น้ำผึ้ง โดยเฉพาะน้ำผึ้งสีเข้ม มีสารประกอบที่เรียกว่า ฟลาโวนอยด์ในปริมาณสูง ฟลาโวนอยด์มีคุณสมบัติเป็นสารต้านแบคทีเรีย ต้านไวรัส ต้านการอักเสบ และต้านภูมิแพ้ บางคนถือว่าน้ำผึ้งเป็นทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพแทนน้ำตาลและเป็นแหล่งของสารต้านอนุมูลอิสระเนื่องจากมีฟลาโวนอยด์ อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะเป็นความจริงที่ว่าน้ำผึ้งมีดัชนีน้ำตาลต่ำกว่าน้ำตาล แต่ก็ยังเป็นอาหารที่มีแคลอรีสูงที่ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้น ดังนั้นจึงแนะนำให้บริโภคในปริมาณที่พอเหมาะ
น้ำผึ้งดีกว่าน้ำตาลหรือไม่ ?
น้ำผึ้งมีค่าดัชนีน้ำตาล (GI) ต่ำกว่าน้ำตาล ดังนั้นมันจึงไม่ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

นอกจากนี้ น้ำผึ้งยังหวานกว่าน้ำตาล ทำให้เราอาจใช้ในปริมาณน้อยกว่า อย่างไรก็ตาม น้ำผึ้งมีปริมาณแคลอรีต่อช้อนชามากกว่าน้ำตาลเล็กน้อย ดังนั้นจึงควรระมัดระวังในปริมาณที่บริโภค

หากคุณชอบน้ำผึ้ง ควรเลือกน้ำผึ้งที่ไม่ผ่านการแปรรูป เพราะมีวิตามิน เอนไซม์ สารต้านอนุมูลอิสระ และสารอาหารอื่น ๆ มากกว่าน้ำตาลขาว และควรบริโภคในปริมาณที่พอเหมาะ อย่างไรก็ตาม ควรจำไว้ว่าประโยชน์ทางโภชนาการจากการบริโภคน้ำผึ้งดิบมีน้อยมาก
น้ำผึ้งปลอดภัยสำหรับทุกคนหรือไม่ ?
น้ำผึ้งมักถูกจัดอยู่ในประเภท "ไม่มีน้ำตาล" โดยน้ำตาลเป็นส่วนผสมที่มักแนะนำให้บริโภคในปริมาณจำกัดในแต่ละมื้อ ดังนั้น น้ำผึ้งจึงเป็นอาหารที่ปลอดภัยสำหรับผู้ใหญ่ส่วนใหญ่ แต่ก็ควรบริโภคในปริมาณที่แนะนำเช่นกัน

สำหรับผู้ป่วยเบาหวานหรือผู้ที่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ไม่มีประโยชน์ที่แท้จริงในการทดแทนน้ำตาลด้วยน้ำผึ้ง เพราะทั้งน้ำตาลและน้ำผึ้งล้วนส่งผลต่อระดับน้ำตาลในเลือดในที่สุด

นอกจากนี้ เด็กทารกที่อายุต่ำกว่า 12 เดือนไม่ควรรับประทานน้ำผึ้งดิบหรือน้ำผึ้งที่ผลิตในเชิงพาณิชย์ เนื่องจากอาจเสี่ยงต่อการได้รับโรคโบทูลิซึมได้ กล่าวอีกนัยหนึ่ง แม้ว่าคนส่วนใหญ่จะสามารถเพลิดเพลินกับน้ำผึ้งในอาหารของพวกเขาได้ แต่น้ำผึ้งก็ไม่ปลอดภัยสำหรับทุกคน

นอกจากนี้ น้ำผึ้งยังไม่ได้รวมอยู่ในอาหารมังสวิรัติ เนื่องจากการเก็บรวบรวมน้ำผึ้งถูกมองว่าเป็นการทำร้ายผึ้งที่ทำงานหนักเพื่อเอาชีวิตรอดในฤดูหนาวและเก็บสะสมน้ำผึ้งไว้ใช้ในยามขาดแคลน

ที่มา : BBC NEW ไทย

#ปัณฑาเพื่อการศึกษา #เรื่องน่ารู้ #ป่า #น้ำผึ้ง #น้ำผึ้งแท้ #ผึ้ง #วิจัย #มนุษย์ #สัตว์ #ร่างกาย #น้ำตาล

นักพยากรณ์อากาศธรรมชาติ กับเหตุผลว่าทำไม ‘เมื่อเห็นแมลงปอบินเป็นฝูง ถึงแสดงว่าฝนกำลังจะตก’‘ฝนเอยทำไมจึงตก ฝนตกเพราะกบมัน...
21/10/2024

นักพยากรณ์อากาศธรรมชาติ กับเหตุผลว่าทำไม ‘เมื่อเห็นแมลงปอบินเป็นฝูง ถึงแสดงว่าฝนกำลังจะตก’
‘ฝนเอยทำไมจึงตก ฝนตกเพราะกบมันร้อง’
‘มดขนไข่ไต่ขึ้นที่สูง แปลว่าฝนจะตก’
‘แมลงปอบินว่อนเป็นฝูง แสดงว่าฝนกำลังตั้งเค้า’

เคยไหมวันไหนที่รู้สึกร้อนอบอ้าวเป็นพิเศษ เรารู้ได้ทันทีว่าวันนั้นฝนจะต้องตกแน่นอน หรือตอนที่เราได้กลิ่นดินชัดกว่าเดิม หลังจากนั้นไม่นานฝนก็เทลงมา ปรากฎการณ์ธรรมชาติเหล่านี้ไม่เพียงแต่เราที่รับรู้ได้ แต่ยังมีบรรดาสัตว์โลกที่รับรู้ได้เช่นกัน แถมไวกว่าที่เราสัมผัสได้เสียอีก

‘ฝูงแมลงปอพากันออกมาบินต่ำรอบบ้านเต็มไปหมด เดี๋ยวสักพักฝนก็ตกแล้ว’ ประโยคคุ้นหูของใครหลายคน โดยเฉพาะบ้านที่ปลูกใกล้ริมน้ำ พฤติกรรมสัตว์แปลก ๆ ที่ไม่สามารถพบได้ในชีวิตประจำวันนี้ กลับเป็นสัญญาณแจ้งเตือนที่ดี เรียกได้ว่าเป็นนักพยากรณ์อากาศธรรมชาติที่มีความแม่นยำสูง
แต่ทำไมสัตว์ถึงรับรู้ได้ก่อนใครว่าฝนจะตก มีญาณวิเศษหรือมีอะไรดลใจให้พวกเขาทำแบบนั้นกันนะ วันนี้แอดมินชวนมาหาคำตอบว่าพฤติกรรมสัตว์จะสามารถพยากรณ์อากาศได้อย่างไร? และเหตุใดสัตว์ถึงแสดงพฤติกรรมเช่นนั้น?
แมลงปอรู้ได้อย่างไรว่าฝนกำลังจะตก?
ตัวอย่างสัตว์ที่ยกมาในวันนี้ก็คือ ‘แมลงปอ’ แมลงปอเป็นแมลง (Insecta) จัดอยู่ในกลุ่มสัตว์ขาปล้อง (Arthropod) เป็นสัตว์เลือดเย็น (Cold blooded) อุณหภูมิภายในร่างกายจะเปลี่ยนไปตามอุณหภูมิของสภาพแวดล้อมนั้น ๆ โดยเฉพาะอุณหภูมิ ความชื้น และความกดอากาศ ปัจจัยทั้งหมดล้วนส่งผลให้แมลงอ่อนไหวต่อสภาพอากาศจนเกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมได้ และนี่คือเหตุผลที่ทำให้สัตว์ไวต่อความรู้สึกถึงสภาพอากาศที่กำลังจะเปลี่ยนไป

ก่อนที่ฝนจะตก อากาศจะร้อนอบอ้าว เนื่องจากมีความชื้นสัมพัทธ์สูง ความกดอากาศต่ำ และอุณหภูมิลดลง ทำให้เหล่าแมลงปอรู้ได้ว่าอีกไม่ช้าฝนจะต้องตกลงมาแน่ ๆ แมลงปอจึงมีพฤติกรรมพากันรวมฝูง ออกมาบินว่อนทั่วพื้นที่ และด้วยไอน้ำในอากาศมากขึ้น ปีกที่เบาบางไม่สามารถรับน้ำหนักได้ ทำให้แมลงปอต้องบินต่ำจนเราสังเกตเห็นตัวได้ง่ายกว่าปกติ
ทำไมแมลงปอถึงรวมฝูงในช่วงที่ฝนตก?
ส่วนใหญ่แมลงปออาศัยอยู่ตามแหล่งน้ำจืด พื้นที่ชุ่มน้ำ ในระยะไข่และตัวอ่อนจะอาศัยอยู่ในน้ำก่อนที่กลับขึ้นมาบนบกเมื่อเข้าสู่ระยะตัวเต็มวัย น้ำจึงเป็นทั้งบ้านหลังแรกและแหล่งอาหารของแมลงปอ เมื่อฝนเริ่มตั้งเค้า แมลงปอจึงเตรียมตัวพากันออกมาหาอาหารทั้งก่อนและหลังฝนตก เนื่องจากอาหารหลักอย่างยุงและแมลงวัน จะมีเยอะมากในช่วงหลังฝนตกและในช่วงที่มีแดดจัด

จากการศึกษาของ Jeff Stehm พบว่า เมื่อนักล่าอย่างแมลงปอรวมตัวกันออกมาหาอาหารในช่วงก่อนและหลังฝนตก จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการหาอาหารมากขึ้น นั่นคือมีโอกาสล่าเหยื่อและได้เหยื่อสูงขึ้นกว่าช่วงเวลาอื่น และมากขึ้นกว่าการล่าแบบไม่รวมฝูง

รวมถึงแมลงปอยังใช้ช่วงเวลารวมฝูงก่อนฝนตกนี้ เพื่อการจับคู่ผสมพันธุ์กันด้วย เพราะเมื่อฝนตกแล้ว น้ำในธรรมชาติจะมีสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการวางไข่ เราจึงมักเห็นแมลงปอบินไปจุ่มปลายท้องตามแหล่งน้ำที่เจิ่งนองหลังฝนตกใหม่ ๆ เพื่อทดสอบอุณหภูมิของน้ำและระดับความลึกของน้ำก่อนที่จะวางไข่นั่นเอง
แม้พฤติกรรมนี้จะพบเจอได้ทั่วไปก่อนที่ฝนจะตก แต่ปัจจุบันกลับพบเจอแมลงปอได้ยากขึ้น นักพยากรณ์อากาศธรรมชาติกำลังจะหายไป จำนวนประชากรลดลงอย่างต่อเนื่อง จากการสูญเสียถิ่นที่อยู่อาศัย อาหารลดน้อยลง สภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วเข้าสู่ภาวะโลกรวนที่เราเผชิญอยู่ในตอนนี้

แมลงปอไม่เพียงแต่จะเป็นนักพยากรณ์อากาศเท่านั้น แต่ยังคอยรักษาสมดุล และเป็นตัวชี้วัดความอุดมสมบูรณ์ของพื้นที่ หากแมลงปอหายไปก็ไม่ต่างอะไรกับการที่เราหยิบโดมิโนออกเพียงตัวเดียว ก็สามารถทำให้โดมิโนที่เหลือล้มลงได้ ธรรมชาติก็เช่นเดียวกัน

สิ่งมีชีวิตไม่ว่าจะมีขนาดใหญ่หรือเล็ก ดูธรรมดาหรือพิเศษ แตกต่างหรือทั่วไป ต่างมีหน้าที่และภารกิจที่ยิ่งใหญ่ด้วยกันทั้งนั้น อยู่ที่เราจะสัมผัสได้หรือไม่ว่าความธรรมดาเหล่านั้น อาจมีอะไรที่พิเศษซ่อนอยู่ก็เป็นได้ เพราะสิ่งที่ธรรมชาติสร้างขึ้น ล้วนมีเหตุและผลของมันเสมอ

อ้างอิง
Home Range, Movement, and Distribution Patterns of the Threatened Dragonfly Sympetrum depressiusculum (Odonata: Libellulidae): A Thousand Times Greater Territory to Protect?
Ask the Naturalist: Why Do Dragonflies Swarm? | Bay Nature
Dragonfly Swarms: One of Nature’s Rare Displays | NESTLE INTO NATURE
ผู้เขียน : ภัสราภรณ์ ล้อประกานต์สิทธิ์
รูปภาพ : มูลนิธิสืบนาคะเสถียร

#ปัณฑาเพื่อการศึกษา #เรื่องน่ารู้ #ป่า #ฝนตก #แมลงปอ #พรรณไม้ #วิจัย #มนุษย์ #ธรรมชาติ #ธรรมชาติสวยงาม #พรรณไม้ขนาดเล็ก #แมลง

"วันบำรุงรักษาต้นไม้ประจำปีของชาติ" กำเนิดขึ้นจากแรงปณิธานของ "สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี"ต้นไม้ 1 ต้น สามารถดูดซับก...
20/10/2024

"วันบำรุงรักษาต้นไม้ประจำปีของชาติ" กำเนิดขึ้นจากแรงปณิธานของ "สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี"
ต้นไม้ 1 ต้น สามารถดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ได้เฉลี่ย 9-15 กิโลกรัม/ปี
จุดเริ่มต้นของ "วันบำรุงรักษาต้นไม้ประจำปีของชาติ" หรือ "วันรักต้นไม้แห่งชาติ" หรือ "วันรักต้นไม้ประจำปีของชาติ" (National Annual Tree Care Day) ถือกำเนิดขึ้นจากแรงปณิธานของ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี หรือ "สมเด็จย่า" ทรงมีพระราชปณิธานอย่างแรงกล้าที่จะฟื้นฟูความสมดุลของธรรมชาติโดยทรงปลูกและบำรุงต้นไม้ด้วยพระองค์มาโดยตลอด และทรงให้ความสำคัญของการบำรุงรักษาต้นไม้ที่ปลูกว่ามีความสำคัญและน่าเป็นห่วงมากกว่าการปลูก
ดังนั้น เพื่อเป็นการแสดงความกตัญญูกตเวทิตาต่อ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีที่ทรงงานพัฒนาชนบทของประเทศไทยโดยเฉพาะการฟื้นฟูความสมดุลของธรรมชาติ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้เสนอคณะรัฐมนตรีกำหนดให้ วันพระราชสมภพของพระองค์ ซึ่งตรงกับวันที่ 21 ตุลาคมของทุกปี เป็น "วันบำรุงรักษาต้นไม้ประจำปีของชาติ" ซึ่งคณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2533 อนุมัติในหลักการโดยให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รับไปดำเนินการระดมความคิดเห็นจากบุคคลทั่วไป เพื่อเสนอชื่อที่เหมาะสม

ต่อมา กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้รับไปดำเนินการแล้ว ปรากฏว่าชื่อที่เหมาะสมคือ "วันรักต้นไม้ประจำปีของชาติ" และได้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบแล้ว เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2533 เพื่อให้ประชาชนชาวไทยได้มีโอกาสแสดงความเสียสละแรงกาย แรงใจ ความสามัคคีน้อมเกล้าฯ ถวายเป็นราชสักการะแด่สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ด้วยการร่วมกันบำรุงรักษาต้นไม้ที่ปลูกไว้ตามสถานที่ต่างๆ อันเป็นช่วงปลายฤดูฝนของทุกปี โดยมีจุดหมายคือ

1. เพื่อบำรุงรักษาต้นไม้ รวมทั้งปลูกซ่อมต้นไม้ที่ตายให้เจริญเติบโต ปกคลุมพื้นดินโดยรวดเร็ว

2. เพื่อชี้นำหรือแนะแนวให้ประชาชนได้ร่วมมือ ร่วมใจ และร่วมกันบำรุงรักษาต้นไม้ที่ปลูกไว้ โดยการให้ปุ๋ย พรวนดิน ถากถางวัชพืชที่โคนต้นไม้ หรืออื่นๆ โดยพร้อมเพรียงกัน

3. เพื่อให้ประชาชนเห็นความสำคัญ ของการบำรุงรักษาต้นไม้ที่ปลู่ไว้ในบ้าน สถานที่สาธารณะ และในเรือกสวนไร่นา ซึ่งจะบรรลุวัตถุประสงค์การอนุรักษ์พื้นที่สีเขียวไว้ได้

4. เพื่อแสดงความกตัญญูกตเวทิตา โดยเป็นราชสักการะแด่สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี โดยพร้อมเพรียงกันในวันนี้
ทั้งนี้ เมื่อพูดถึงความสำคัญของ "ต้นไม้" ถือเป็นตัวช่วยดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ เพิ่มออกซิเจนให้กับอากาศบนโลกใบนี้ ซึ่งเมื่อต้นไม้ดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ผ่านกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสงแล้ว จะนำคาร์บอนฯ ที่ได้ไปเก็บไว้ตามส่วนต่างๆ ของต้นไม้ ไม่ว่าจะเป็นลำต้น กิ่ง ใบ หรือแม้กระทั่งราก

อย่างไรก็ตาม สำหรับ ต้นไม้ 1 ต้นนั้น สามารถดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ได้เฉลี่ย 9-15 กิโลกรัม/ปี ทั้งยังช่วยดักจับฝุ่นและมลพิษในอากาศ ได้ 1.4 กิโลกรัม/ปี ซึ่งศักยภาพในการกักเก็บคาร์บอนฯ ของต้นไม้นั้น ขึ้นอยู่กับอัตราการเติบโตของต้นไม้ และปัจจัยแวดล้อม หากปลูกบนพื้นที่ที่เหมาะสมกับชนิดของพืชนั้นๆ ก็จะทำให้ต้นไม้กักเก็บคาร์บอนฯ ได้ดีอีกด้วย.

รูปภาพ : Future Perfect

#ปัณฑาเพื่อการศึกษา #เรื่องน่ารู้
#ความยั่งยืน #อนาคตที่ยั่งยืน #ความยั่งยืน #สิ่งแวดล้อม
#ข่าวสิ่งแวดล้อม #วันบำรุงรักษาต้นไม้ประจำปีของชาติ #วันรักต้นไม้แห่งชาติ
#วันรักต้นไม้ประจำปีของชาติ #สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี #สมเด็จย่า #ต้นไม้
#ข่าววันนี้

ชมภาพ “ซูเปอร์ฟูลมูน” ปรากฏการณ์ ดวงจันทร์เต็มดวงใกล้โลกที่สุดในรอบปี คืนวันออกพรรษา 17 ตุลาคม 2567“ดวงจันทร์เต็มดวงใกล้...
18/10/2024

ชมภาพ “ซูเปอร์ฟูลมูน” ปรากฏการณ์ ดวงจันทร์เต็มดวงใกล้โลกที่สุดในรอบปี คืนวันออกพรรษา 17 ตุลาคม 2567
“ดวงจันทร์เต็มดวงใกล้โลกที่สุดในรอบปี” หรือ “ซูเปอร์ฟูลมูน” (Super Full Moon) ในวันที่ 17 ตุลาคม 2567 ตรงกับวันออกพรรษา ดวงจันทร์มีระยะห่างจากโลกประมาณ 357,358 กิโลเมตร ส่งผลให้คืนดังกล่าวดวงจันทร์เต็มดวงมีขนาดปรากฏใหญ่กว่าปกติเล็กน้อย เมื่อนำภาพถ่ายมาเปรียบเทียบขนาดปรากฏของดวงจันทร์เต็มดวงช่วงใกล้-ไกลโลกที่สุดในรอบปี จะมีขนาดปรากฏใหญ่กว่าประมาณร้อยละ 14 เห็นความแตกต่างได้อย่างชัดเจน

ทั้งนี้ ปรากฏการณ์ “ดวงจันทร์เต็มดวงใกล้โลกที่สุดในรอบปี” ในปีถัดไปตรงกับวันที่ 5 พฤศจิกายน 2568 ผู้สนใจสามารถติดตามข้อมูลปรากฎการณ์ดาราศาสตร์ที่น่าสนใจเพิ่มเติมได้ทางเฟซบุ๊กสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ

ที่มา : TNN NEW THAILAND
#ปัณฑาเพื่อการศึกษา #เรื่องน่ารู้ #ดาราศาสตร์ #ซุปเปอร์ฟูลมูล #ปรากฏการณ์ธรรมชาติ #ดวงจันทร์ #โลก #ธรรมชาติ #ธรรมชาติสวยงาม

เปิดภาพ "พิศวงไทยทอง" หรือ "พิศวงตานกฮูก" พรรณไม้ขนาดเล็ก สีเขียวอมน้ำเงิน กลีบรวมมี 6 กลีบ พบได้แห่งเดียวที่ดอยหัวหมด อ...
17/10/2024

เปิดภาพ "พิศวงไทยทอง" หรือ "พิศวงตานกฮูก" พรรณไม้ขนาดเล็ก สีเขียวอมน้ำเงิน กลีบรวมมี 6 กลีบ พบได้แห่งเดียวที่ดอยหัวหมด อ.อุ้มผาง จ.ตาก
พิศวงไทยทอง หรือ พิศวงตานกฮูก (ชื่อวิทยาศาสตร์: Thismia thaithongiana) เป็นพืชอาศัยรา (myco-heterotrophic plant) ชนิดหนึ่ง เป็นพรรณไม้ล้มลุกถิ่นเดียว พบในป่าเต็งรังบนภูเขาหินปูนโดยขึ้นบริเวณต้นเป้งดอยหรือพืชตระกูลปาล์ม ลำต้นสูงประมาณ 2 มิลลิเมตร ใบเป็นใบเดี่ยวเรียงเวียนเกลี้ยงสีขาวรูปสามเหลี่ยมแคบหรือรูปไข่ ดอกมีสีเขียวอมน้ำเงิน กลีบรวมมี 6 กลีบ วงกลีบหลอดรูปทรงคนโทสูง 7.5–11 มิลลิเมตร[1] ดอกบานช่วงปลายฤดูฝนประมาณเดือนกันยายน–ต้นเดือนพฤศจิกายน ส่วนฤดูอื่นต้นจะพักตัว ปัจจุบันพิศวงไทยทองมีสถานภาพใกล้สูญพันธุ์
มีรายงานว่า นายมาโนช โพธิ์เนียม นายอำเภออุ้มผาง กล่าวว่า ปีนี้ "พิศวงไทยทอง" หรือ "พิศวงตานกฮูก" พรรณไม้ขนาดเล็กสุด พบแห่งเดียวที่ดอยหัวหมด อำเภออุ้มผาง และหนึ่งเดียวในโลกได้เผยโฉมแล้ว มีความสวยงามและขึ้นเป็นจำนวนมากพบที่ดอยหัวหมด ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากตัวอำเภออุ้มผางมากนัก ติดถนนเส้นทางอำเภออุ้มผาง บ้านปะละทะ หลักกิโลเมตรที่ 9 ขึ้นไปดอยหัวหมดไม่กี่เมตรจะพบ "พิศวงตานกฮูก" อยู่ใต้ต้นเป้ง แต่เล็กมากถ้าไม่สังเกตดี ๆ จะไม่เห็น
นายสุชาติ จันทร์หอมหวล "ตูกะสู คอทเทจ" บ้านเลขที่ 40 หมู่ที่ 6 ต.อุ้มผาง อ.อุ้มผาง จ.ตาก เปิดเผยว่า ตนเองพบพิศวงตานกฮูก หรือ พิศวงไทยทอง เมื่อปี 2557 บริเวณดอยหัวหมดพื้นที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอุ้มผาง ห่างจากตัวอำเภออุ้มผางประมาณ 9 กิโลเมตร ปีไหนฝนฟ้าอากาศดีจะพบได้เยอะ จะขึ้นบริเวณต้นเป้งหรือพืชตระกูลปาล์ม พิศวงตานกฮูกเป็นพืชที่ต้องอาศัยเชื้อรา ปีนี้เริ่มออกมาให้ชมแล้วเป็นจำนวนมากพอสมควร เมื่อออกมาแล้วจากพื้นดินจะอยู่ได้ประมาณ 1 เดือน พบได้เฉพาะที่ดอยหัวหมด ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอุ้มผางเท่านั้น
นายอำนาจ ฟองชัย หัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอุ้มผาง กล่าวว่า พิศวงตานกฮูก อยู่ในพื้นที่ของเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอุ้มผาง ซึ่งเปิดให้เข้าชมโดยไม่เก็บค่าบริการใด ๆ ขอความร่วมมือนักท่องเที่ยวต่าง ๆ ช่วยกันรักษาความสะอาด รักษาสิ่งแวดล้อม และเก็บขยะคืนถิ่น ขอเชิญชวนทุกท่านมาเยี่ยมชม ช่วงเดือนกันยายนถึงตุลาคม
ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นายสุชาติ จันทร์หอมหวล "ตูกะสู คอทเทจ" โทร. 081-8258238 หรือที่ 081-9727973 (อาร์ม) นายภาคภูมิ มินรินทร์ ประธานชมรมส่งเสริมการท่องเที่ยวและอนุรักษ์อุ้มผาง และ ททท. ตาก นางสาวธมลวรรณ เจริญวงศ์พิสิฐ ผู้อำนวยการ ททท. สำนักงานตาก FB: ททท. สำนักงานตาก โทร. 055-514341-3.

ที่มา : https://www.thairath.co.th/futureperfect/articles/2812101

#ปัณฑาเพื่อการศึกษา #เรื่องน่ารู้ #ป่า #พิศวงไทยทอง #พิศวงตานกฮูก #พรรณไม้ #วิจัย #มนุษย์ #ธรรมชาติ #ธรรมชาติสวยงาม #พรรณไม้ขนาดเล็ก #พืช

🌟 เชิญร่วมทำบุญบริจาคเพื่อผู้ยากไร้ 🌟ในช่วงเวลาที่ยากลำบากเช่นนี้ หลายครอบครัวในชุมชนของเราเผชิญกับความทุกข์ยากและขาดแคล...
01/10/2024

🌟 เชิญร่วมทำบุญบริจาคเพื่อผู้ยากไร้ 🌟
ในช่วงเวลาที่ยากลำบากเช่นนี้ หลายครอบครัวในชุมชนของเราเผชิญกับความทุกข์ยากและขาดแคลนสิ่งของจำเป็นในชีวิตประจำวัน เราจึงขอเชิญชวนทุกท่านเข้าร่วมทำบุญโดยการบริจาคสิ่งของที่จำเป็น เพื่อช่วยเหลือผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือ
เราขอเชิญชวนทุกท่านร่วมกันทำบุญเพื่อช่วยเหลือผู้ยากไร้ในชุมชนต่างๆ โดยการบริจาคสิ่งของที่จำเป็น เช่น ข้าวสาร อาหารแห้ง เสื้อผ้า และสิ่งของที่ไม่ใช้แล้ว ที่ยังสามารถนำไปใช้ได้
สิ่งของที่เราต้องการรับบริจาค ได้แก่
• ข้าวสาร และ อาหารแห้ง เช่น บะหมี่สำเร็จรูป, ถั่ว, และเครื่องปรุง
• เสื้อผ้า และ สิ่งของเหลือใช้ ที่ยังอยู่ในสภาพดี เช่น รองเท้า, กระเป๋า, หรือเครื่องใช้ในบ้าน

การแบ่งปันสิ่งของเหล่านี้จะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของผู้ที่ต้องการการสนับสนุน และเป็นการส่งต่อความรักและความหวังไปยังผู้ที่กำลังเผชิญกับความยากลำบาก

📅 เปิดรับสิ่งของบริจาคได้ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2567
เราหวังว่าทุกท่านจะมาร่วมกันแบ่งปันความสุขในครั้งนี้ โดยไม่เพียงแค่การบริจาคสิ่งของเท่านั้น แต่ยังเป็นการแสดงให้เห็นถึงความสามัคคีและความเอื้ออาทรในสังคมของเรา การช่วยเหลือกันในยามที่คนรอบข้างต้องการ จะสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นและทำให้ชุมชนของเราน่าอยู่ยิ่งขึ้น ทุกการบริจาคของท่านมีค่ามากกว่าที่ท่านคิด มันอาจเปลี่ยนแปลงชีวิตของใครสักคนให้ดีขึ้นได้อย่างไม่คาดคิด ขอให้เราทุกคนร่วมมือกันในการสร้างสังคมที่ดีขึ้นไปด้วยกัน

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม: 083-9522451 ครูเอย

ติดตามข่าวสารกิจกรรมได้ที่: https://www.facebook.com/PunthaFoundation

รวมสมทบทุนโครงการช่วยเหลือผู้ยากไร้ได้ที่
มูลนิธิปัณฑาเพื่อการศึกษา วิทยาศาสตร์ และสิ่งแวดล้อม
ธนาคารกสิกรไทย 078-1-86998-8

ขอขอบพระคุณทุกท่านที่ร่วมมือร่วมใจในการทำบุญและสร้างสังคมที่เต็มไปด้วยความเมตตาและความรักค่ะ 🙏✨

เรามาเป็นแรงใจให้กันและกันในช่วงเวลานี้นะคะ!

ที่อยู่

33 ซอย ภูมิจิตรแขวง พระโขนง เขตคลองเตย กรุงเทพมหานคร
Bangkok
10110

เบอร์โทรศัพท์

+66829199495

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ มูลนิธิปัณฑาเพื่อการศึกษา วิทยาศาสตร์ และสิ่งแวดล้อม - Puntha Foundationผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ องค์กรนั้น

ส่งข้อความของคุณถึง มูลนิธิปัณฑาเพื่อการศึกษา วิทยาศาสตร์ และสิ่งแวดล้อม - Puntha Foundation:

วิดีโอทั้งหมด

แชร์