
13/06/2025
คำมั่นสัญญาของหม่อมคัทริน
“…หม่อมฉันจะไม่หงุดหงิดเจ้าอารมณ์ใส่ฝ่าบาท
ในเวลาที่ฝ่าบาททรงมีพระประสงค์ที่จะทรงงาน
หรืออ่านหนังสือพิมพ์ หม่อมฉันจะไม่เซ้าซี้ให้ฝ่าบาท
ต้องเสด็จกลับจากกระทรวงมาเสวยพระกระยาหาร
กลางวัน หรือเสวยชาที่วังพร้อมกับหม่อมฉันอีกต่อไป
หม่อมฉันเพียงกราบทูลขอให้ฝ่าบาทรักและซื่อสัตย์
จริงใจต่อหม่อมฉันเหมือนอย่างที่เคยเป็นมาตลอด…”
เป็นข้อความตอนหนึ่งในจดหมายที่
หม่อมคัทริน เดสนิตสะกี้ หม่อมชาวรัสเซีย
ของจอมพล สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจักรพงษ์
ภูวนาถ ที่มีถึงพระสวามีขณะแยกกันอยู่ชั่วคราว
อันเนื่องแต่เกิดปัญหาพระสวามีทรงปันพระทัยให้สตรีอื่น
เรื่องราวความรักของสมเด็จฯ เจ้าฟ้าจักรพงษ์ฯ
พระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ประสูติแต่สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ
กับหม่อมคัทรินเป็นเรื่องราวที่ทำให้ราชสำนัก
ทั้งฝ่ายหน้าและฝ่ายในสมัยนั้นแตกตื่น
โจษขานกันไม่รู้จบ เพราะเป็นเรื่องที่ไม่มีผู้ใด
คาดฝันว่าจะเกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะเกิดกับ
พระราชโอรสที่ทรงมีสิทธิในราชบัลลังก์
สมเด็จฯ เจ้าฟ้าจักรพงษ์ฯ ทรงพบรักกับ
คัทริน เดสนิตสะกี้ ระหว่างที่เสด็จไปศึกษา
วิชาการทหารบกที่ประเทศรัสเซีย
เมื่อแรกเริ่มรักกันนั้น คัทรินมิได้ตระหนัก
ถึงอุปสรรคอันเกิดจาก เชื้อชาติ ศาสนา ประเพณี
ชีวิตความเป็นอยู่ ตลอดจนกำแพงแห่งฐานันดร
เท่าใดนัก เธอไม่รู้จักแม้แต่เมืองสยาม
ที่เธอจะต้องมาใช้ชีวิตอยู่ เธอรู้จักแต่เพียง “เล็ก”
พระนามที่เธอใช้เรียกขานชายผู้ที่เธอรัก
และหวังจะฝากชีวิตไว้
ในส่วนสมเด็จฯ เจ้าฟ้า แม้จะทรงล่วงรู้
ถึงอุปสรรคต่างๆ เป็นอย่างดีว่าหนักหนามหึมาปานใด
แต่ด้วยความรักที่อัดแน่นอยู่เต็มพระทัย
ทำให้ทรงเห็นอุปสรรคหนักหนานั้นเป็นเรื่องน้อยนิด
ทรงคาดว่าเวลาจะช่วยให้อุปสรรคนานาประการ
คลี่คลายไปในทางที่ดี และเหตุการณ์ก็เกือบจะเป็นไป
ตามที่ทรงคาดไว้ เพราะเมื่อทรงพาหม่อมชายา
กลับมาถึงสยามท่ามกลางความไม่พอพระทัย
ของทั้งพระบรมราชนกชนนี
ทรงพยายามอย่างอดทนทุกวิถีทาง
ที่จะทำให้ทั้งสองพระองค์โปรดปรานหม่อม
และพระราชทานอภัยให้ หม่อมคัทรินเอง
ก็พยายามปรับตัวให้เข้ากับวิถีชีวิตใหม่
นับแต่การแต่งกายแบบนางใน
รู้จักวิธีการหมอบกราบคลานเข่าเข้าเฝ้า
พูดภาษาไทยชัดถ้อยชัดคำ
เพ็ดทูลราชาศัพท์ได้อย่างคล่องแคล่ว
แต่มีเพียงสิ่งเดียวที่เธอไม่สามารถที่จะปรับตัว
ยอมรับได้ นั่นคือประเพณีมีภรรยาหลายคน
ของชายไทย เธอขอร้องพระสวามีให้มีรักเดียวใจเดียว
ซึ่งพระสวามีก็ทรงยินยอมโอนอ่อนปฏิบัติตามคำร้องขอ
น่าจะเนื่องมาจากความรักและความสงสาร
ที่เธอต้องจากบ้านเมืองมาอยู่ท่ามกลางคนแปลกหน้า
แปลกทั้งภาษาและขนบประเพณี ทำให้หม่อมคัทริน
มีความสุข ดังที่เธอพรรณาไว้ในจดหมายที่มีไปถึงพี่ชาย
เล่าชีวิตความเป็นอยู่ของเธอในกรุงสยาม
ความตอนหนึ่งว่า
“…ที่กรุงเทพฯ นี้เราสองคนอยู่กันอย่างมีความสุข…
เราสามารถปรับตัวเข้าหากันและกันได้เร็วกว่าที่คิด
ไม่มีอะไรในโลกที่สำคัญกว่านี้อีกแล้ว…”
ยิ่งเมื่อหม่อมให้กำเนิดพระโอรส
คือพระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ ซึ่งนับเป็นพระราชนัดดา
พระองค์แรกในสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ
พระราชนัดดาพระองค์แรกนี้เองที่ทำให้สถานการณ์ต่างๆ
คลี่คลายไปในทางที่ดี
สมเด็จพระบรมราชินีนาถทรงออกพระโอษฐ์
ชมพระสุณิสาเมื่อเห็นภาพถ่ายว่า “ยิ้มน่ารักดี”
และโปรดพระราชทานผ้าไหมสีสวยสดงดงาม
สำหรับตัดแต่งเป็นชุดไทย ในส่วนสมเด็จพระบรมราชชนก
ก็มีพระทัยอ่อนลง พระราชทานเมตตา เช่น มีรับสั่ง
ให้สมเด็จฯ เจ้าฟ้าจักรพงษ์ฯ นำไก่เลกฮอร์น
ไปพระราชทานหม่อม
“…ได้ข่าวว่าที่บ้านเล็กชอบเลี้ยงไก่เลกฮอร์นเหมือนกัน…”
พระสุณิสาก็มักส่งดอกกุหลาบที่ปลูกเอง
ในวังปารุสกวันไปถวายสมเด็จพระบรมราชินีนาถเสมอๆ
ยิ่งเมื่อได้ทอดพระเนตรพระราชนัดดาครั้งแรก
ก็ยิ่งแสดงให้เห็นถึงสถานการณ์ที่ดีขึ้น
เพราะมีพระราชดำรัสกับสมเด็จพระบรมราชินีนาถว่า
“…วันนี้ฉันได้พบกับหลานชายเธอ ดูน่ารักน่าเอ็นดูเหมือนพ่อ
ฉันรู้สึกรักและหลงใหลหลานคนนี้ตั้งแต่แรกเห็น
เพราะถึงอย่างไรนี่ก็เป็นสายเลือดเชื้อไขของฉันเอง…”
แต่โชคไม่เข้าข้างหม่อมคัทริน เพราะการเสด็จสวรรคต
ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทำให้หลายสิ่งหยุดชะงักและเปลี่ยนแปลง
แม้พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
จะทรงยอมรับหม่อมคัทรินเป็นสะใภ้หลวง
แต่เวลาเดียวกันนั้นเองความเปลี่ยนแปลงบางอย่าง
เริ่มเกิดขึ้นในพระทัยของสมเด็จเจ้าฟ้าชาย
อันเนื่องมาจากเมื่อเวลาผ่านไปทรงเริ่มประจักษ์
ถึงอุปนิสัยบางประการของหม่อมคัทริน
ดังที่ทรงบรรยายไว้ว่า
“…คราใดที่เธอเกิดไม่พอใจเรื่องอะไรขึ้นมา
ก็จะมาลงเอาที่ฉันทุกครั้ง เป็นเรื่องยากที่จะเอาใจเธอ
ให้เธอมีความสุข…”
และ “…เธอไม่เพียงต้องการให้ทุกคนทำอย่างที่เธอ
ต้องการ แต่ยังให้ทุกคนต้องคิดอย่างที่เธอคิดด้วย…”
ในขณะที่ความรู้สึกเช่นนี้ค่อยทวีขึ้น
ก็พอดีกับที่หม่อมคัทรินมีประสงค์จะกลับไปเยี่ยมเยียน
บ้านเกิดที่รัสเซียความรู้สึกของสมเด็จเจ้าฟ้า
เมื่อหม่อมห่างไกลจึงกลายเป็นว่า
“…มาในคราวนี้ที่แคทยาไม่อยู่
ฉันรู้สึกว่าทุกอย่างดีขึ้น พักผ่อนได้อย่างแท้จริง…”
ครั้งนั้นทรงเปิดวังปารุสกวันที่เคยประทับเป็นส่วนพระองค์
กับพระชายาออกต้อนรับพระญาติสนิทรุ่นราวคราวเดียวกัน
มีการพบปะสังสรรค์เล่น กีฬา ลีลาศกันอย่างสนุกสนาน
ไม่เว้นแต่ละวัน นับเป็นความรู้สึกแปลกใหม่ที่ไม่เคยทรงพบ
ขณะทรงอยู่ร่วมกับหม่อมคัทริน
และความรู้สึกเป็นสุขแปลกใหม่ก็เพิ่มขึ้น
เมื่อทรงได้พบกับหม่อมเจ้าหญิงชวลิตโอภาส
ธิดากรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ พระเชษฐาต่างพระมารดา
ซึ่งมีชันษาเพียง ๑๕ ปี
ทรงพอพระทัยในทุกสิ่งที่เป็นองค์หม่อมเจ้าหญิง
ไม่ว่าจะเป็นความร่าเริงแจ่มใสอากัปกิริยาที่ปราดเปรียว
ว่องไวน่ารักในยามที่ทรงพรสรวลจนตัวงอเวลา
ได้ยินเรื่องที่ถูกพระทัย
เมื่อนานเข้าความพอพระทัยในพระอัธยาศัยค่อยๆ
กลายเป็นความสัมพันธ์อันลึกซึ้ง จนถึงกับมีพระดำริ
เปรียบเทียบระหว่างพระชายาคนไทยที่เข้าใจกันยิ่งกว่า
ชายต่างชาติ
เมื่อหม่อมคัทรินเดินทางกลับมายังสยามอีกครั้ง
ก็พบว่าทุกสิ่งทุกอย่างรวมทั้งน้ำพระทัยและความรู้สึก
ของพระสวามีที่เคยมีต่อเธอนั้นเปลี่ยนแปลงไป
จนหมดสิ้น ทรงแสดงให้หม่อมชายารู้สึกว่า
“…ไม่ทรงสามารถที่จะละจากท่านหญิงชวลิตฯ ได้…”
แม้หม่อมชายาจะได้ต่อรองขอร้องวิงวอนประการใด
ก็ไม่อาจที่จะยื้อยุดทั้งพระทัยและพระวรกาย
ของพระสวามีให้คืนกลับมาได้ดังเดิม
แม้หม่อมคัทรินจะหยุดทบทวนวัตรปฏิบัติของตน
พบข้อบกพร่องอันจะเป็นเหตุให้พระสวามีทรงเบื่อหน่าย
ถึงแก่มีจดหมายมาถวาย ข้อความในจดหมายเป็นการ
ให้คำมั่นสัญญาที่จะเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อบกพร่องของตน
ความว่า
“…หม่อมฉันจะไม่หงุดหงิดเจ้าอารมณ์ใส่ฝ่าบาท
ในเวลาที่ฝ่าบาททรงมีพระประสงค์ที่จะทรงงาน
หรืออ่านหนังสือพิมพ์ หม่อมฉันจะไม่เซ้าซี้ให้ฝ่าบาท
ต้องเสด็จกลับจากกระทรวงมาเสวยพระกระยาหารกลางวัน
หรือเสวยชาที่วังพร้อมกับหม่อมฉันอีกต่อไป
หม่อมฉันเพียงกราบทูลขอให้ฝ่าบาทรักและซื่อสัตย์จริงใจ
ต่อหม่อมฉันเหมือนอย่างที่เคยเป็นมาตลอด…”
แต่เหตุการณ์และน้ำพระทัยของพระสวามีได้ทรงเตลิด
โลดแล่นไปไกลเกินกว่าที่จะทรงหันกลับไปสู่เส้นทางเดิมได้
เสียแล้ว จึงเป็นอันสุดสิ้นชีวิตรักที่ยาวนานมาถึง ๑๓ ปี
ของ “หม่อมแหม่ม” คนแรกในราชสำนักสยาม
เนื้อหา
วาทะเล่าประวัติศาสตร์
: ศิลปวัฒนธรรม ฉบับตุลาคม 2554
เขียนโดย ศันสนีย์ วีระศิลป์ชัย
ภาพ
หม่อมคัทริน เดสนิตสะกี้
ภาพต้นฉบับ : "Madame de Phitsanulok"
จาก Pattarapol Piewnim
เครดิต fb : กัปป์ กัลป์