วารสารบัณฑิตแสงโคมคำ JSBS

วารสารบัณฑิตแสงโคมคำ JSBS 🔵JSBS Hotline: https://lin.ee/St1l0Ip

07/01/2025

🚩เปิดรับข้อมูล! การประเมินคุณภาพวารสารใหม่ที่ต้องการเข้าสู่ฐานข้อมูล TCI พ.ศ. 2568
ตั้งแต่วันที่ 6 มกราคม – 28 กุมภาพันธ์ 2568
รายละเอียดเพิ่มเติม : https://tci-thailand.org/view?slug=e6wXLIgQQw

 #วารสารบัณฑิตแสงโคมคำ      #ฉบับเต็ม  𝗝𝗼𝘂𝗿𝗻𝗮𝗹 𝗼𝗳 𝗦𝗮𝗲𝗻𝗴𝗞𝗵𝗼𝗺𝗞𝗵𝗮𝗺 𝗕𝘂𝗱𝗱𝗵𝗶𝘀𝘁 𝗦𝘁𝘂𝗱𝗶𝗲𝘀📖 ปีที่ 9 ฉบับที่ 3 (กันยายน-ธันวาคม 256...
25/12/2024

#วารสารบัณฑิตแสงโคมคำ #ฉบับเต็ม
𝗝𝗼𝘂𝗿𝗻𝗮𝗹 𝗼𝗳 𝗦𝗮𝗲𝗻𝗴𝗞𝗵𝗼𝗺𝗞𝗵𝗮𝗺 𝗕𝘂𝗱𝗱𝗵𝗶𝘀𝘁 𝗦𝘁𝘂𝗱𝗶𝗲𝘀
📖 ปีที่ 9 ฉบับที่ 3 (กันยายน-ธันวาคม 2567)
📖 Vol. 9 No. 3 (September-December 2024)
📍 วารสาร TCI 1 (2565-2567)
©บัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตพะเยา©

สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่
👉 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jsbs/issue/view/17862/5133

📗 บทความที่ 𝟭𝟯📗 #วารสารบัณฑิตแสงโคมคำ      #มหาวิทยาลัยมหาจุฬาฯ วิทยาเขตพะเยา𝗝𝗼𝘂𝗿𝗻𝗮𝗹 𝗼𝗳 𝗦𝗮𝗲𝗻𝗴𝗞𝗵𝗼𝗺𝗞𝗵𝗮𝗺 𝗕𝘂𝗱𝗱𝗵𝗶𝘀𝘁 𝗦𝘁𝘂𝗱𝗶𝗲𝘀🟩 ...
23/12/2024

📗 บทความที่ 𝟭𝟯📗
#วารสารบัณฑิตแสงโคมคำ #มหาวิทยาลัยมหาจุฬาฯ วิทยาเขตพะเยา
𝗝𝗼𝘂𝗿𝗻𝗮𝗹 𝗼𝗳 𝗦𝗮𝗲𝗻𝗴𝗞𝗵𝗼𝗺𝗞𝗵𝗮𝗺 𝗕𝘂𝗱𝗱𝗵𝗶𝘀𝘁 𝗦𝘁𝘂𝗱𝗶𝗲𝘀

🟩 ปีที่ 9 ฉบับที่ 3 (กันยายน-ธันวาคม 2567)
🟩 Vol. 9 No. 3 (September–December 2024)
📍 วารสาร TCI 1 (2565-2567)
©บัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตพะเยา©

บทความวิชาการ: รามเกียรติ์ พระราชนิพนธ์พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช: การทบทวน การศึกษาใหม่ กลวิธีสร้างสรรค์เนื้อเรื่อง และการนำเสนอข้อคิดเห็น

𝗔𝗰𝗮𝗱𝗲𝗺𝗶𝗰 𝗔𝗿𝘁𝗶𝗰𝗹𝗲: Ramayana Written by His Majesty King Phra Phutthayotfa Chulalok Maharat: Review, Restudy, Technique for
Content Writing, and Added Opinion

ผู้เขียน: ณัฐวุฒิ คล้ายสุวรรณ
คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย

𝐀𝐮𝐭𝐡𝐨𝐫: Natawut Klaisuwan
Faculty of Humanities, Mahamakut Buddhist University

✍️บทคัดย่อ✍️
บทความวิชาการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ทบทวนการศึกษาที่มาของเรื่องรามเกียรติ์ 2) นำเสนอผลการศึกษาใหม่ในเรื่องที่มาของรามเกียรติ์ 3) ศึกษากลวิธีสร้างสรรค์เนื้อเรื่อง 4) นำเสนอข้อคิดเห็นเพิ่มเติม ผลการศึกษาพบว่า นอกจากรามเกียรติ์จะมีที่มาจากรามายณะภาษาสันสกฤตฉบับองคนิกาย, วิษณุปุราณะ, หนุมานนาฏกะ, รามายณะฉบับทมิฬ, รามายณะฉบับเบงคาลี, พระรามของชวา-มลายู, พระรามที่เล่ากันอยู่ในเอเชียใต้สมัยคุปตะและปาละ รวมถึงลิลิตนารายณ์ 10 ปางแล้ว ยังมีที่มาจากมหิราพณ์ปาลา, มยิลิราวณัน กไต, หิกายัตศรีราม, สิริสารามา, พระรามบนเกาะบาหลี และอัทภุตะรามายณะ การสร้างสรรค์พระราชนิพนธ์เรื่องรามเกียรติ์เกิดจากการนำเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ เนื้อเรื่องและโครงเรื่องจากวรรณกรรมพื้นบ้าน คติความเชื่อเรื่องพระอินทร์ในชาดก ตลอดจนวรรณคดีคำสอนรุ่นเก่ามาเป็นส่วนหนึ่ง ในการสร้างสรรค์เนื้อเรื่อง ข้อคิดเห็นเพิ่มเติมจากการศึกษาในครั้งนี้ คือ พราหมณ์ผู้เล่าเรื่องรามายณะให้คนไทยฟังเป็นพราหมณ์ในลัทธิไศวนิกาย ทั้งนี้ รามเกียรติ์ยังเป็นวรรณคดีที่ใช้สำหรับแสดงละครในงานสมโภชพระแก้วมรกตและฉลองวัดพระศรีรัตนศาสดาราม หรืออาจใช้แสดงละครในงานสมโภชพระศรีศากยมุนี ผลการศึกษาครั้งนี้พบองค์ความรู้ใหม่ 3 เรื่อง คือ 1) รามเกียรติ์มีที่มาจากนิทานเรื่องพระรามและรามายณะหลายสำนวน 2) เหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ วรรณกรรมพื้นบ้าน ความเชื่อเรื่องพระอินทร์และวรรณกรรมคำสอนรุ่นเก่า มีส่วนในการสร้างสรรค์เนื้อเรื่อง 3) พราหมณ์ลัทธิไศวนิกายเป็นผู้ถ่ายทอดเรื่องพระราม
หรือรามายณะสู่คนไทย และรามเกียรติ์ใช้ในการแสดงละครเพื่อฉลองวัดและสมโภชพระพุทธรูป

คำสำคัญ: #รามเกียรติ์; #พระราชนิพนธ์; #พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช

👇สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่👇
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jsbs/article/view/268592

♦ติดต่อลงบทความ หรือสอบถามเพิ่มเติมที่♦
📞 โทร. 065-419-681-5
📧 E-mail: [email protected]
👉 page: วารสารบัณฑิตแสงโคมคำ JSBS
🟩 LINE:

📗 บทความที่ 𝟭𝟮📗 #วารสารบัณฑิตแสงโคมคำ      #มหาวิทยาลัยมหาจุฬาฯ วิทยาเขตพะเยา𝗝𝗼𝘂𝗿𝗻𝗮𝗹 𝗼𝗳 𝗦𝗮𝗲𝗻𝗴𝗞𝗵𝗼𝗺𝗞𝗵𝗮𝗺 𝗕𝘂𝗱𝗱𝗵𝗶𝘀𝘁 𝗦𝘁𝘂𝗱𝗶𝗲𝘀🟩 ...
23/12/2024

📗 บทความที่ 𝟭𝟮📗
#วารสารบัณฑิตแสงโคมคำ #มหาวิทยาลัยมหาจุฬาฯ วิทยาเขตพะเยา
𝗝𝗼𝘂𝗿𝗻𝗮𝗹 𝗼𝗳 𝗦𝗮𝗲𝗻𝗴𝗞𝗵𝗼𝗺𝗞𝗵𝗮𝗺 𝗕𝘂𝗱𝗱𝗵𝗶𝘀𝘁 𝗦𝘁𝘂𝗱𝗶𝗲𝘀

🟩 ปีที่ 9 ฉบับที่ 3 (กันยายน-ธันวาคม 2567)
🟩 Vol. 9 No. 3 (September–December 2024)
📍 วารสาร TCI 1 (2565-2567)
©บัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตพะเยา©

บทความวิจัย: การพัฒนาทักษะการสอนของครูปฐมวัยในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาด้วยเครื่องมือแนวทางการจัดประสบการณ์ที่ส่งเสริมทักษะทางสมองในจังหวัดร้อยเอ็ดและจังหวัดยโสธร

𝗥𝗲𝘀𝗲𝗮𝗿𝗰𝗵 𝗔𝗿𝘁𝗶𝗰𝗹𝗲: Development of Teaching Skills of Early Childhood Teachers under the Office of Primary Education Service Area with the Executive Function Guideline Tool in Roi Et and Yasothon Provinces

ผู้เขียน: นิธินาถ อุดมสันต์
ศักดิ์ศรี สืบสิงห์
สุภิมล บุญพอก
ฟ้าสวย ตรีโอษฐ์
วิชิต ถิระเดโชชัย
คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด

𝐀𝐮𝐭𝐡𝐨𝐫𝘀: Nithinarth Udomsan
Saksri Suebsing
Supimaol BoonPook
Fasuay Treeod
Wichit Thiradechochai
Faculty of Education, Roi Et Rajabhat University

✍️บทคัดย่อ✍️
บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ ดังนี้ 1) เพื่อพัฒนาทักษะการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ของครูปฐมวัย 2) เพื่อเปรียบเทียบผลพัฒนาทักษะการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ของครูปฐมวัย 3) เพื่อศึกษาความคิดเห็นของครูปฐมวัยในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาจังหวัดร้อยเอ็ดและยโสธรที่มีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยเครื่องมือแนวทางการจัดประสบการณ์ที่ส่งเสริมทักษะทางสมอง เป็นรูปแบบการวิจัยและพัฒนา กลุ่มตัวอย่าง คือ ครูปฐมวัย ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564 จำนวน 100 คน ซึ่งได้มาโดยวิธีการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ คู่มือการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ แบบทดสอบ และแบบสอบถามความคิดเห็น สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและการทดสอบค่าที
ผลการวิจัยพบว่า 1) ความสามารถด้านการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ของครูปฐมวัยด้วยเครื่องมือแนวทางการจัดประสบการณ์ที่ส่งเสริมทักษะทางสมอง ก่อนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ โดยภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง (x̄=2.73; S.D.=0.49) ส่วนหลังการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (x̄=4.66; S.D.=0.44) 2) ผลการเปรียบเทียบทักษะการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ของครูปฐมวัยด้วยเครื่องมือแนวทางการจัดประสบการณ์ที่ส่งเสริมทักษะทางสมองพบว่า ภายหลังการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เกี่ยวกับการพัฒนาทักษะการจัดการเรียนรู้ฯ มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 โดยคะแนนเฉลี่ยภายหลังการจัดกิจกรรมการเรียนรู้สูงกว่าก่อนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ และ 3) ความคิดเห็นของครูปฐมวัยที่มีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยเครื่องมือแนวทางการจัดประสบการณ์ที่ส่งเสริมทักษะทางสมอง โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (x̄=4.64; S.D.=0.43) เมื่อพิจารณาค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อยพบว่า หัวข้อการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนน่าสนใจ มีค่ามากที่สุด รองลงมา คือ การกระตุ้นให้เกิดความสนใจในการเรียน และเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้แสดงความคิดเห็น องค์ความรู้จากการวิจัย คือ การได้คู่มือแนวทางการจัดประสบการณ์ที่ส่งเสริมทักษะทางสมอง

คำสำคัญ: #กิจกรรมการเรียนรู้; #การพัฒนาทักษะการจัดการเรียนรู้; #การจัดประสบการณ์ที่ส่งเสริมทักษะทางสมอง

👇สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่👇
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jsbs/article/view/266191/version/43447

♦ติดต่อลงบทความ หรือสอบถามเพิ่มเติมที่♦
📞 โทร. 065-419-681-5
📧 E-mail: [email protected]
👉 page: วารสารบัณฑิตแสงโคมคำ JSBS
🟩 LINE:

📗 บทความที่ 𝟭𝟭📗 #วารสารบัณฑิตแสงโคมคำ      #มหาวิทยาลัยมหาจุฬาฯ วิทยาเขตพะเยา 𝗝𝗼𝘂𝗿𝗻𝗮𝗹 𝗼𝗳 𝗦𝗮𝗲𝗻𝗴𝗞𝗵𝗼𝗺𝗞𝗵𝗮𝗺 𝗕𝘂𝗱𝗱𝗵𝗶𝘀𝘁 𝗦𝘁𝘂𝗱𝗶𝗲𝘀🟩...
20/12/2024

📗 บทความที่ 𝟭𝟭📗
#วารสารบัณฑิตแสงโคมคำ #มหาวิทยาลัยมหาจุฬาฯ วิทยาเขตพะเยา
𝗝𝗼𝘂𝗿𝗻𝗮𝗹 𝗼𝗳 𝗦𝗮𝗲𝗻𝗴𝗞𝗵𝗼𝗺𝗞𝗵𝗮𝗺 𝗕𝘂𝗱𝗱𝗵𝗶𝘀𝘁 𝗦𝘁𝘂𝗱𝗶𝗲𝘀

🟩 ปีที่ 9 ฉบับที่ 3 (กันยายน-ธันวาคม 2567)
🟩 Vol. 9 No. 3 (September–December 2024)
📍 วารสาร TCI 1 (2565-2567)
©บัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตพะเยา©

บทความวิจัย: ความยุติธรรมในองค์กร ภาวะผู้นำที่แท้จริง และความพึงพอใจในงานที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการเป็นสมาชิกที่ดีของบุคลากรในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจังหวัดนครราชสีมา

𝗥𝗲𝘀𝗲𝗮𝗿𝗰𝗵 𝗔𝗿𝘁𝗶𝗰𝗹𝗲: Organizational Justice, Authentic Leadership, and
Job Satisfaction Affecting Organizational Citizenship Behavior among Personnel in Local Administrative Organizations in Nakhon Ratchasima Province

ผู้เขียน: ชณภา ปุญณนันท์
ชุณิภา เปิดโลกนิมิต
คณะบริหารธุรกิจและรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเวสเทิร์น

𝐀𝐮𝐭𝐡𝐨𝐫𝘀: Chonnapha Punnanan
Chunipha Poedloknimit
Faculty of Business and Public Administration, Western University

✍️บทคัดย่อ✍️
บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาความยุติธรรมในองค์กร ภาวะผู้นำที่แท้จริง ความพึงพอใจในงานที่ส่งผลต่อการเป็นสมาชิกที่ดี 2) พัฒนาโมเดลความสัมพันธ์เชิงสาเหตุของตัวแปรความยุติธรรมในองค์กร ภาวะผู้นำที่แท้จริง ความพึงพอใจในงานที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการเป็นสมาชิกที่ดี 3) ตรวจสอบความสอดคล้องของโมเดลความสัมพันธ์เชิงสาเหตุของตัวแปรความยุติธรรมในองค์กร ภาวะผู้นำที่แท้จริงและความพึงพอใจในงานฯ กลุ่มตัวอย่าง คือ บุคลากรในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดนครราชสีมา จำนวน 800 คน ใช้แบบสอบถามในการเก็บข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูลด้วยความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์โมเดลสมการโครงสร้าง
ผลการวิจัยพบว่า 1) บุคลากรรับรู้ความยุติธรรมในองค์กร ภาวะผู้นำที่แท้จริง ความพึงพอใจในงานที่ส่งผลต่อการเป็นสมาชิกที่ดีในระดับสูง (x̄=3.68; S.D.=0.39) 2) โมเดลความสัมพันธ์เชิงสาเหตุของตัวแปรความยุติธรรมในองค์กร ภาวะผู้นำที่แท้จริง ความพึงพอใจในงานที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการเป็นสมาชิกที่ดีของบุคลากรในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ (Chi-Square=94.81; df=86; GFI=0.97; AGFI=0.95; RMSEA=0.018) 3) การตรวจสอบความสอดคล้องของโมเดลความสัมพันธ์เชิงสาเหตุของตัวแปรความยุติธรรมในองค์กร ภาวะผู้นำที่แท้จริง ความพึงพอใจในงานที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการเป็นสมาชิกที่ดีพบว่า ภาวะผู้นำที่แท้จริงและความพึงพอใจในงานมีอิทธิพลทางตรงต่อพฤติกรรมการเป็นสมาชิกที่ดีอย่างมีนัยสำคัญ โดยภาวะผู้นำที่แท้จริงมีอิทธิพลสูงสุด ส่วนความยุติธรรมในองค์กรมีอิทธิพลทางตรงต่อพฤติกรรมการเป็นสมาชิกที่ดีอย่างไม่มีนัยสำคัญ องค์ความรู้จากการวิจัย คือ ภาวะผู้นำที่แท้จริงเป็นปัจจัยสำคัญที่มีอิทธิพลต่อการส่งเสริมพฤติกรรมการเป็นสมาชิกที่ดี หากผู้นำมีความตระหนักรู้ในตนเอง มีความโปร่งใส มีจริยธรรม และมีการประมวลผลอย่างสมดุลจะจูงใจผู้ใต้บังคับบัญชาให้เป็นสมาชิกที่ดีและทุ่มเทในการทำงานเพื่อองค์กร นอกจากนี้ ความพึงพอใจในงานยังส่งผลให้บุคลากรมีความพึงพอใจในงานสูง มีแนวโน้มที่จะให้ความร่วมมือและช่วยเหลือองค์กรด้วยความเต็มใจ เมื่อพิจารณาปัจจัยทั้งสามร่วมกันพบว่า สามารถอธิบายและทำนายพฤติกรรมการเป็นสมาชิกที่ดีได้ถึงร้อยละ 95

คำสำคัญ: #ความยุติธรรมในองค์กร; #ภาวะผู้นำที่แท้จริง; #ความพึงพอใจในงาน; #พฤติกรรมการเป็นสมาชิกที่ดี; #องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น

👇สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่👇
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jsbs/article/view/271378

♦ติดต่อลงบทความ หรือสอบถามเพิ่มเติมที่♦
📞 โทร. 065-419-681-5
📧 E-mail: [email protected]
👉 page: วารสารบัณฑิตแสงโคมคำ JSBS
🟩 LINE:

📗 บทความที่ 𝟭𝟬📗 #วารสารบัณฑิตแสงโคมคำ      #มหาวิทยาลัยมหาจุฬาฯ วิทยาเขตพะเยา𝗝𝗼𝘂𝗿𝗻𝗮𝗹 𝗼𝗳 𝗦𝗮𝗲𝗻𝗴𝗞𝗵𝗼𝗺𝗞𝗵𝗮𝗺 𝗕𝘂𝗱𝗱𝗵𝗶𝘀𝘁 𝗦𝘁𝘂𝗱𝗶𝗲𝘀🟩 ...
20/12/2024

📗 บทความที่ 𝟭𝟬📗
#วารสารบัณฑิตแสงโคมคำ #มหาวิทยาลัยมหาจุฬาฯ วิทยาเขตพะเยา
𝗝𝗼𝘂𝗿𝗻𝗮𝗹 𝗼𝗳 𝗦𝗮𝗲𝗻𝗴𝗞𝗵𝗼𝗺𝗞𝗵𝗮𝗺 𝗕𝘂𝗱𝗱𝗵𝗶𝘀𝘁 𝗦𝘁𝘂𝗱𝗶𝗲𝘀

🟩 ปีที่ 9 ฉบับที่ 3 (กันยายน-ธันวาคม 2567)
🟩 Vol. 9 No. 3 (September–December 2024)
📍 วารสาร TCI 1 (2565-2567)
©บัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตพะเยา©

บทความวิจัย: ผลของบุคลิกภาพห้าองค์ประกอบต่อพฤติกรรมพลเมืองดีในองค์การของพนักงานองค์การธุรกิจในจังหวัดเชียงราย

𝗥𝗲𝘀𝗲𝗮𝗿𝗰𝗵 𝗔𝗿𝘁𝗶𝗰𝗹𝗲: Effects of the Big-five Personality Traits on Organizational Citizenship Behaviors of Business Organization Employees in Chiang Rai Province

ผู้เขียน: สมเดช มุงเมือง
บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเวสเทิร์น

𝐀𝐮𝐭𝐡𝐨𝐫: Somdet Mungmaung
Graduate School, Western University

✍️บทคัดย่อ✍️
บทความวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาบุคลิกภาพห้าองค์ประกอบและพฤติกรรมพลเมืองดีในองค์การของพนักงานองค์การธุรกิจในจังหวัดเชียงราย และศึกษาผลของลักษณะบุคลิกภาพห้าองค์ประกอบที่มีต่อพฤติกรรมพลเมืองดีในองค์การของพนักงานองค์การธุรกิจในจังหวัดเชียงราย เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม กลุ่มตัวอย่างจำนวน 400 คน โดยสุ่มแบบเจาะจงจากพนักงานองค์การธุรกิจในจังหวัดเชียงราย วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา และสถิติเชิงอนุมาน ในการวิเคราะห์การถดถอดพหุคูณ
ผลการวิจัยพบว่า 1) พนักงานองค์การธุรกิจในจังหวัดเชียงรายมีบุคลิกภาพห้าองค์ประกอบ โดยรวมอยู่ในระดับมาก (x̅=3.510; S.D.=0.464) โดยบุคลิกภาพแบบมีจิตสำนึกมีค่าเฉลี่ยสูงสุด ส่วนพฤติกรรมพลเมืองดีในองค์การ โดยรวมอยู่ในระดับมาก ( x̅=3.793; S.D.=0.525) โดยพฤติกรรมด้านคำนึงถึงผู้อื่นมีค่าเฉลี่ยสูงสุด 2) บุคลิกภาพห้าองค์ประกอบ 4 แบบ ได้แก่ แบบมีจิตสำนึก แบบประนีประนอม แบบเปิดรับประสบการณ์ และแบบเปิดเผยแสดงตัว ส่งผลทางบวกต่อพฤติกรรมพลเมืองดีในองค์การอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 สามารถทำนายพฤติกรรมได้ร้อยละ 36.8 (R²=0.368) ส่วนบุคลิกภาพแบบความมั่นคงทางอารมณ์ไม่มีผลต่อพฤติกรรมพลเมืองดีในองค์การ องค์ความรู้จากการวิจัย คือ ลักษณะบุคลิกภาพห้าองค์ประกอบมีบทบาทในการส่งเสริมและอำนวยให้เกิดพฤติกรรมพลเมืองดีในองค์การ ดังนั้น ผู้บริหารสามารถใช้เป็นประโยชน์ในการคัดเลือกและพัฒนาพนักงานให้มีบุคลิกภาพในระดับสูง เนื่องจากมีแนวโน้มที่จะมีพฤติกรรมพลเมืองดีในองค์การและมีส่วนช่วยให้องค์การมีประสิทธิผลมากขึ้น

คำสำคัญ: #บุคลิกภาพห้าองค์ประกอบ; #พฤติกรรมพลเมืองดีในองค์การ; #พนักงานองค์การธุรกิจ

👇สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่👇
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jsbs/article/view/270549

♦ติดต่อลงบทความ หรือสอบถามเพิ่มเติมที่♦
📞 โทร. 065-419-681-5
📧 E-mail: [email protected]
👉 page: วารสารบัณฑิตแสงโคมคำ JSBS
🟩 LINE:

📗 บทความที่ 𝟗📗 #วารสารบัณฑิตแสงโคมคำ      #มหาวิทยาลัยมหาจุฬาฯ วิทยาเขตพะเยา𝗝𝗼𝘂𝗿𝗻𝗮𝗹 𝗼𝗳 𝗦𝗮𝗲𝗻𝗴𝗞𝗵𝗼𝗺𝗞𝗵𝗮𝗺 𝗕𝘂𝗱𝗱𝗵𝗶𝘀𝘁 𝗦𝘁𝘂𝗱𝗶𝗲𝘀🟩  ...
19/12/2024

📗 บทความที่ 𝟗📗
#วารสารบัณฑิตแสงโคมคำ #มหาวิทยาลัยมหาจุฬาฯ วิทยาเขตพะเยา
𝗝𝗼𝘂𝗿𝗻𝗮𝗹 𝗼𝗳 𝗦𝗮𝗲𝗻𝗴𝗞𝗵𝗼𝗺𝗞𝗵𝗮𝗺 𝗕𝘂𝗱𝗱𝗵𝗶𝘀𝘁 𝗦𝘁𝘂𝗱𝗶𝗲𝘀

🟩 ปีที่ 9 ฉบับที่ 3 (กันยายน-ธันวาคม 2567)
🟩 Vol. 9 No. 3 (September–December 2024)
📍 วารสาร TCI 1 (2565-2567)
©บัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตพะเยา©

บทความวิจัย: การธำรงชาติพันธุ์ของชาวไทตาดในบริบทความหลากหลายทางชาติพันธุ์

𝗥𝗲𝘀𝗲𝗮𝗿𝗰𝗵 𝗔𝗿𝘁𝗶𝗰𝗹𝗲: Maintaining the Ethnicity of the Tai Tad People in
the Context of Ethnic Diversity

ผู้เขียน: เทพรักษ์ สุริฝ่าย
คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม

𝐀𝐮𝐭𝐡𝐨𝐫: Theparak Surifai
Faculty of Humanities and Social Sciences, Mahasarakham University

✍️บทคัดย่อ✍️
บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาวิถีชีวิตและลักษณะทางสังคมวัฒนธรรมของชาวไทตาด และ 2) เพื่อศึกษาการธำรงชาติพันธุ์ของชาวไทตาดในบริบทความหลากหลายทางชาติพันธุ์ เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพที่เน้นกระบวนการรวบรวมข้อมูลภาคสนามด้วยวิธีการสังเกต สำรวจและสัมภาษณ์ผู้ให้ข้อมูลสำคัญจำนวน 45 รูป/คน ได้มาจากการคัดเลือกแบบเจาะจง จากนั้น นำข้อมูลมาวิเคราะห์เชิงเนื้อหาด้วยทฤษฎีเกี่ยวกับการศึกษากลุ่มชาติพันธุ์และทฤษฎีการธำรงชาติพันธุ์เพื่อตอบวัตถุประสงค์ของการวิจัยแล้วนำเสนอรายงานผลการวิจัยด้วยรูปแบบการวิจัยเชิงพรรณนาวิเคราะห์
ผลการวิจัยพบว่า ชาวไทตาดเป็นกลุ่มชนที่มีประวัติศาสตร์การเคลื่อนย้ายมาจากแคว้นสิบสองปันนา มณฑลยูนนาน สาธารณรัฐประชาชนจีน มีความเชื่อเรื่องผีรูปแบบต่าง ๆ คอยทำหน้าที่ควบคุมพฤติกรรมและความสัมพันธ์ของคนในกลุ่ม มีวิถีชีวิต ภาษา ความเชื่อ วัฒนธรรม ประเพณีอย่างเฉพาะตัว ดำรงชีวิตอยู่อย่างพอเพียงพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน โดยมีป่าชุมชนเป็นแหล่งอาหารที่อุดมสมบูรณ์ ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม ปัจจุบันภายใต้ความหลากหลายทางชาติพันธุ์ ชาวไทตาดยังคงไว้ซึ่งความเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ไทตาด โดยสามารถธำรงอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมของกลุ่มตนไว้ได้ เช่น ภาษา ความเชื่อ ประเพณี พิธีกรรม องค์ความรู้จากการวิจัยนี้แสดงให้เห็นว่า ชาวไทตาดยังคงรักษาอัตลักษณ์ของตนอย่างต่อเนื่องไปพร้อมกับการปรับตัวทางวัฒนธรรมเพื่อการท่องเที่ยวและนำทรัพยากรทางวัฒนธรรมเดิมมาแสดงอัตลักษณ์ของตนในเชิงการท่องเที่ยวเพื่อรักษาความมีตัวตนทางวัฒนธรรมให้ดำรงอยู่สืบต่อไป โดยไม่ถูกกลืนกลายด้วยวัฒนธรรมกระแสหลักในท้องถิ่นและยังแสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการปรับตัวให้เข้ากับวัฒนธรรมกระแสหลักได้อย่างกลมกลืนจนได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นชาติพันธุ์ที่ 9 ของจังหวัดนครพนม และเชื่อว่า จะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจการท่องเที่ยวของจังหวัดนครพนมอย่างยั่งยืน

คำสำคัญ: #ชาติพันธุ์; #ไทตาด; #ความหลากหลายทางชาติพันธุ์

👇สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่👇
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jsbs/article/view/269396

♦ติดต่อลงบทความ หรือสอบถามเพิ่มเติมที่♦
📞 โทร. 065-419-681-5
📧 E-mail: [email protected]
👉 page: วารสารบัณฑิตแสงโคมคำ JSBS
🟩 LINE:

📗 บทความที่ 𝟴📗 #วารสารบัณฑิตแสงโคมคำ      #มหาวิทยาลัยมหาจุฬาฯ วิทยาเขตพะเยา𝗝𝗼𝘂𝗿𝗻𝗮𝗹 𝗼𝗳 𝗦𝗮𝗲𝗻𝗴𝗞𝗵𝗼𝗺𝗞𝗵𝗮𝗺 𝗕𝘂𝗱𝗱𝗵𝗶𝘀𝘁 𝗦𝘁𝘂𝗱𝗶𝗲𝘀🟩  ...
18/12/2024

📗 บทความที่ 𝟴📗
#วารสารบัณฑิตแสงโคมคำ #มหาวิทยาลัยมหาจุฬาฯ วิทยาเขตพะเยา
𝗝𝗼𝘂𝗿𝗻𝗮𝗹 𝗼𝗳 𝗦𝗮𝗲𝗻𝗴𝗞𝗵𝗼𝗺𝗞𝗵𝗮𝗺 𝗕𝘂𝗱𝗱𝗵𝗶𝘀𝘁 𝗦𝘁𝘂𝗱𝗶𝗲𝘀

🟩 ปีที่ 9 ฉบับที่ 3 (กันยายน-ธันวาคม 2567)
🟩 Vol. 9 No. 3 (September–December 2024)
📍 วารสาร TCI 1 (2565-2567)
©บัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตพะเยา©

บทความวิจัย: การพัฒนาการท่องเที่ยวทางพระพุทธศาสนาในจังหวัดนครปฐม

𝗥𝗲𝘀𝗲𝗮𝗿𝗰𝗵 𝗔𝗿𝘁𝗶𝗰𝗹𝗲: The Development of Buddhist Tourism in the Nakhon Pathom Province

ผู้เขียน: กฤตสุชิน พลเสน
พระมหามฆวินทร์ ปุริสุตฺตโม
บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย

𝐀𝐮𝐭𝐡𝐨𝐫𝘀: Kitsuchin Ponsen
Phramaha Maghavin Purisuttamo
Graduate School, Mahamakut Buddhist University

✍️บทคัดย่อ✍️
บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพปัญหาและปัจจัยที่ส่งผลต่อการท่องเที่ยวทางพระพุทธศาสนาในจังหวัดนครปฐม 2) เพื่อสร้างรูปแบบการพัฒนาการท่องเที่ยวทางพระพุทธศาสนาในจังหวัดนครปฐม เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ มัคนายก กรรมการวัด ภิกษุ สามเณร ผู้ช่วยเจ้าอาวาส เจ้าอาวาส และเจ้าคณะเขตปกครอง จำนวน 264 รูป/คน เครื่องมือในการวิจัย คือ แบบสอบถาม 30 ข้อ สถิติในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ สถิติเชิงพรรณนา ประกอบด้วยการแจกแจงความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติที่ใช้ในการทดสอบสมมติฐาน ประกอบด้วยค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน และการวิเคราะห์การถดถอยของพหุคูณ
ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพปัญหาและปัจจัยที่ส่งผลต่อการท่องเที่ยวทางพระพุทธศาสนา ด้านการส่งเสริมการตลาดการท่องเที่ยวมีค่าสูงสุด รองลงมา คือ ด้านลักษณะแวดล้อมของแหล่งท่องเที่ยว ส่วนด้านรูปแบบกิจกรรมการท่องเที่ยวมีค่าต่ำสุด โดยรวมอยู่ในระดับมาก (x̄=3.73; S.D.=0.18) 2) ความสัมพันธ์ระหว่างสภาพปัญหาและปัจจัยที่ส่งผลต่อการท่องเที่ยวทางพระพุทธศาสนาพบว่า มีความสัมพันธ์ทางบวกกับองค์ประกอบที่สำคัญของการท่องเที่ยว 6 ประการ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 3) ปัจจัยที่ส่งผลต่อการท่องเที่ยวทางพระพุทธศาสนาพบว่า มีตัวแปรการส่งเสริมการตลาดการท่องเที่ยวที่ทำนายปัจจัยที่ส่งผลต่อการท่องเที่ยวทางพระพุทธศาสนา อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 (P-value=0.000) ตัวแปรทั้ง 3 อธิบายการผันแปรของปัจจัยที่ส่งผลต่อการท่องเที่ยวทางพระพุทธศาสนาได้ร้อยละ 69.6 (R2=0.696) 4) รูปแบบการพัฒนาการท่องเที่ยวทางพระพุทธศาสนาควรคำนึงองค์ประกอบการท่องเที่ยว 6 ประการ คือ 1. ความดึงดูดใจของแหล่งท่องเที่ยว 2. แรงจูงใจของนักท่องเที่ยว 3. การส่งเสริมการตลาดการท่องเที่ยว 4. สิ่งอำนวยความสะดวก 5. จุดเด่นด้านความปลอดภัย 6. จุดเด่นในกิจกรรม องค์ความรู้จากการวิจัย คือ การได้ผลผลิตและผลลัพธ์ของการพัฒนา 3 ประการ คือ 1) เป็นแหล่งประกอบศาสนกิจ 2) เป็นแหล่งพบปะบัณฑิตผู้ทรงภูมิรู้ทางธรรม 3) เป็นแหล่งแสวงบุญทางพระศาสนา

คำสำคัญ: #การพัฒนาการท่องเที่ยว; #การท่องเที่ยวทางพระพุทธศาสนา; #จังหวัดนครปฐม

👇สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่👇
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jsbs/article/view/271767

♦ติดต่อลงบทความ หรือสอบถามเพิ่มเติมที่♦
📞 โทร. 065-419-681-5
📧 E-mail: [email protected]
👉 page: วารสารบัณฑิตแสงโคมคำ JSBS
🟩 LINE:

18/12/2024

🚩ประกาศรายชื่อผู้ที่มีสิทธิ์เข้าร่วม "การประชุมวิชาการเครือข่ายการพัฒนาคุณภาพวารสารวิชาการไทย ครั้งที่ 15"
รายละเอียดเพิ่มเติม : https://bit.ly/3OZOF1J

📗 บทความที่ 𝟳📗 #วารสารบัณฑิตแสงโคมคำ      #มหาวิทยาลัยมหาจุฬาฯ วิทยาเขตพะเยา𝗝𝗼𝘂𝗿𝗻𝗮𝗹 𝗼𝗳 𝗦𝗮𝗲𝗻𝗴𝗞𝗵𝗼𝗺𝗞𝗵𝗮𝗺 𝗕𝘂𝗱𝗱𝗵𝗶𝘀𝘁 𝗦𝘁𝘂𝗱𝗶𝗲𝘀🟩  ...
17/12/2024

📗 บทความที่ 𝟳📗
#วารสารบัณฑิตแสงโคมคำ #มหาวิทยาลัยมหาจุฬาฯ วิทยาเขตพะเยา
𝗝𝗼𝘂𝗿𝗻𝗮𝗹 𝗼𝗳 𝗦𝗮𝗲𝗻𝗴𝗞𝗵𝗼𝗺𝗞𝗵𝗮𝗺 𝗕𝘂𝗱𝗱𝗵𝗶𝘀𝘁 𝗦𝘁𝘂𝗱𝗶𝗲𝘀

🟩 ปีที่ 9 ฉบับที่ 3 (กันยายน-ธันวาคม 2567)
🟩 Vol. 9 No. 3 (September–December 2024)
📍 วารสาร TCI 1 (2565-2567)
©บัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตพะเยา©

บทความวิจัย: การสร้างและพัฒนาแอปพลิเคชันเสมือนจริงชีววิทยา เพื่อส่งเสริมผลการเรียนรู้และการคิดเชื่อมโยงเชิงวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนขนาดใหญ่พิเศษ จังหวัดลำพูน

𝗥𝗲𝘀𝗲𝗮𝗿𝗰𝗵 𝗔𝗿𝘁𝗶𝗰𝗹𝗲: The Creation and Development of Virtual Bio-application to Enhance Learning Outcomes and Scientific Associative Thinking of Students in Grade 10, Extra-large Secondary School, Lamphun Province

ผู้เขียน: ธรณิช เมืองมูล
พิชญ์สินี ชมภูคำ
หลักสูตรศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาวิจัยและเทคโนโลยีการจัดการเรียนรู้ คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยฟาร์อีสเทอร์น

𝐀𝐮𝐭𝐡𝐨𝐫𝘀: Thoranit Moungmoon
Phichsinee Chomphucome
Master of Education Program in Research and Technology in Learning Management, Faculty of Education, Far Eastern University

✍️บทคัดย่อ✍️
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อสร้างและพัฒนาแอปพลิเคชันเสมือนจริงชีววิทยาของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนขนาดใหญ่พิเศษ จังหวัดลำพูน 2) เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้านทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และการคิดเชื่อมโยงเชิงวิทยาศาสตร์ 3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียน กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียนจักรคำคณาทร จังหวัดลำพูน จำนวน 1 ห้องเรียน 40 คน ได้มาโดยการเลือกตัวอย่างแบบกลุ่ม เป็นการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมการศึกษา เครื่องมือการวิจัย ได้แก่ 1) แอปพลิเคชันเสมือนจริงชีววิทยาฯ 2) แบบประเมินความเหมาะสมของแอปพลิเคชันเสมือนจริงชีววิทยาฯ 3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 4) แบบทดสอบวัดทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ 5) แบบทดสอบการคิดเชื่อมโยงเชิงวิทยาศาสตร์ โดยใช้แผนผังกราฟิก 6) แบบประเมินความพึงพอใจ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ร้อยละ ฐานนิยม ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สัมประสิทธิ์การแปรผัน การทดสอบทีและการทดสอบแซต
ผลการวิจัยพบว่า 1) แอปพลิเคชันเสมือนจริงชีววิทยาฯ ประกอบด้วยข้อความ ภาพ 2 มิติและกราฟิก 3 มิติ ผสมผสานกับสภาพแวดล้อมที่เป็นจริง ประสิทธิภาพเชิงเหตุผลอยู่ในระดับเหมาะสมมากที่สุด ประสิทธิภาพเชิงประจักษ์ E1/E2 คือ 77.7/75.3 มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐาน 75/75 2) หลังเรียนรู้ด้วยแอปพลิเคชันเสมือนจริงชีววิทยาฯ การทดสอบทีด้านผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนมีคะแนนเฉลี่ยสูงกว่าก่อนเรียนรู้ด้วยแอปพลิเคชันเสมือนจริงชีววิทยาฯ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 การทดสอบแซดด้านทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และการคิดเชื่อมโยงเชิงวิทยาศาสตร์ นักเรียนมากกว่าร้อยละ 60 ของทั้งหมดอยู่ในระดับดีขึ้นไป อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และ 3) ความพึงพอใจของนักเรียนพบว่า หลังเรียน โดยภาพรวมมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก องค์ความรู้จากการวิจัย คือ การจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ควรจัดการเรียนร่วมกับสื่อเทคโนโลยีสมัยใหม่เพื่อทำให้ผู้เรียนมีความกระตือรือร้นและส่งผลถึงผลการเรียนรู้ที่เพิ่มขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม

คำสำคัญ: #แอปพลิเคชันเสมือนจริง; #ผลการเรียนรู้; #การคิดเชื่อมโยงเชิงวิทยาศาสตร์; #แผนผังกราฟิก

👇สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่👇
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jsbs/article/view/267297

♦ติดต่อลงบทความ หรือสอบถามเพิ่มเติมที่♦
📞 โทร. 065-419-681-5
📧 E-mail: [email protected]
👉 page: วารสารบัณฑิตแสงโคมคำ JSBS
🟩 LINE:

📗 บทความที่ 𝟲 📗 #วารสารบัณฑิตแสงโคมคำ      #มหาวิทยาลัยมหาจุฬาฯ วิทยาเขตพะเยา𝗝𝗼𝘂𝗿𝗻𝗮𝗹 𝗼𝗳 𝗦𝗮𝗲𝗻𝗴𝗞𝗵𝗼𝗺𝗞𝗵𝗮𝗺 𝗕𝘂𝗱𝗱𝗵𝗶𝘀𝘁 𝗦𝘁𝘂𝗱𝗶𝗲𝘀🟩 ...
14/12/2024

📗 บทความที่ 𝟲 📗
#วารสารบัณฑิตแสงโคมคำ #มหาวิทยาลัยมหาจุฬาฯ วิทยาเขตพะเยา
𝗝𝗼𝘂𝗿𝗻𝗮𝗹 𝗼𝗳 𝗦𝗮𝗲𝗻𝗴𝗞𝗵𝗼𝗺𝗞𝗵𝗮𝗺 𝗕𝘂𝗱𝗱𝗵𝗶𝘀𝘁 𝗦𝘁𝘂𝗱𝗶𝗲𝘀

🟩 ปีที่ 9 ฉบับที่ 3 (กันยายน-ธันวาคม 2567)
🟩 Vol. 9 No. 3 (September–December 2024)
📍 วารสาร TCI 1 (2565-2567)
©บัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตพะเยา©

บทความวิจัย: พฤติกรรมการท่องเที่ยวและความต้องการของนักท่องเที่ยวที่มีต่อแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติจังหวัดบึงกาฬ

𝗥𝗲𝘀𝗲𝗮𝗿𝗰𝗵 𝗔𝗿𝘁𝗶𝗰𝗹𝗲: The Behaviors and Needs of Tourists towards the Nature-based Tourism Attractions in Bueng Kan Province

ผู้เขียน: คเชนทร์ วัฒนะโกศล
วันทกาญจน์ สีมาโรฤทธิ์ การ์ด
คณะการท่องเที่ยวและการโรงแรม มหาวิทยาลัยมหาสารคาม

𝐀𝐮𝐭𝐡𝐨𝐫𝘀: Khachen Watthanakosol
Wantakan Seemarorit Card
Faculty of Tourism and Hotel Management, Mahasarakham University

✍️บทคัดย่อ✍️
บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวที่มีต่อแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ จังหวัดบึงกาฬ และเพื่อศึกษาความต้องการด้านส่วนประสมทางการตลาดของนักท่องเที่ยวที่มีต่อแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ จังหวัดบึงกาฬ เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างจำนวน 400 คน ได้มาโดยการสุ่มตัวอย่างด้วยวิธีเลือกแบบบังเอิญจากนักท่องเที่ยวที่เข้ามาเที่ยวในจังหวัดบึงกาฬ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา คือ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบสมมติฐานด้วยสถิติเชิงอนุมาน คือ การทดสอบทีและการทดสอบเอฟ
ผลการวิจัยพบว่า พฤติกรรมการท่องเที่ยวของกลุ่มนักท่องเที่ยวซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนในพื้นที่จังหวัดบึงกาฬ นิยมเดินทางท่องเที่ยวร่วมกับเพื่อนสนิท และส่วนใหญ่เดินทางมาท่องเที่ยวครั้งแรกด้วยรถยนต์ส่วนตัว โดยมีค่าใช้จ่ายในการเดินทางน้อยกว่า 5,000 บาท/ครั้ง สถานที่เลือกชมเที่ยวเป็นอันดับแรก คือ สถานที่มีชื่อเสียงของจังหวัดด้วยการสืบค้นข้อมูลจากอินเทอร์เน็ต โดยได้พักค้างแรมที่รีสอร์ทใกล้เคียงเพื่อพักผ่อนหย่อนใจและชื่นชมธรรมชาติ สถานที่ชื่นชอบมากที่สุด คือ เขตรักษาพันธ์สัตว์ป่าสงวนแห่งชาติภูสิงห์ สำหรับความต้องการของนักท่องเที่ยวพบว่า โดยรวมอยู่ในระดับมาก (x̄=3.96; S.D.=0.49) ด้านที่มีความต้องการมากที่สุด คือ ด้านบุคลากรการท่องเที่ยว (x̄=4.16; S.D.=0.54) และน้อยที่สุด คือ ด้านผลิตภัณฑ์การท่องเที่ยว (x̄=3.44; S.D.=0.90) ส่วนนักท่องเที่ยวที่มีอายุ ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ต่อเดือนต่างกัน มีพฤติกรรมและความต้องการต่อการจัดการการท่องเที่ยวทางธรรมชาติของจังหวัดบึงกาฬแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 นักท่องเที่ยวที่มีเพศแตกต่างกัน พฤติกรรมและความต้องการต่อการจัดการการท่องเที่ยวทางธรรมชาติของจังหวัดบึงกาฬไม่แตกต่างกัน องค์ความรู้จากการวิจัย คือ พฤติกรรมและความต้องการด้านส่วนประสมทางการตลาดของนักท่องเที่ยวทั้งหมด 7 ด้าน ประกอบด้วย 1) ด้านผลิตภัณฑ์ 2) ด้านราคา 3) ด้านช่องทางการจัดจำหน่าย 4) ด้านส่งเสริมการขาย 5) ด้านบุคลากร 6) ด้านลักษณะทางกายภาพ 7) ด้านกระบวนการบริการ สามารถนำมาใช้เป็นแนวทางการจัดการแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติจังหวัดบึงกาฬ

คำสำคัญ: #พฤติกรรมการท่องเที่ยว; #ความต้องการของนักท่องเที่ยว; #แหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ; #จังหวัดบึงกาฬ

👇สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่👇
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jsbs/article/view/266225

♦ติดต่อลงบทความ หรือสอบถามเพิ่มเติมที่♦
📞 โทร. 065-419-681-5
📧 E-mail: [email protected]
👉 page: วารสารบัณฑิตแสงโคมคำ JSBS
🟩 LINE:

12/12/2024

🚩ประกาศ รายชื่อวารสารที่ถูกคัดชื่อออกจากฐานข้อมูล TCI ครั้งที่ 3/67 ณ วันที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2567
รายละเอียดเพิ่มเติม : https://tci-thailand.org/view?slug=kwl0ORrQ0O

📗 บทความที่ 𝟱 📗 #วารสารบัณฑิตแสงโคมคำ      #มหาวิทยาลัยมหาจุฬาฯ วิทยาเขตพะเยา𝗝𝗼𝘂𝗿𝗻𝗮𝗹 𝗼𝗳 𝗦𝗮𝗲𝗻𝗴𝗞𝗵𝗼𝗺𝗞𝗵𝗮𝗺 𝗕𝘂𝗱𝗱𝗵𝗶𝘀𝘁 𝗦𝘁𝘂𝗱𝗶𝗲𝘀🟩 ...
12/12/2024

📗 บทความที่ 𝟱 📗
#วารสารบัณฑิตแสงโคมคำ #มหาวิทยาลัยมหาจุฬาฯ วิทยาเขตพะเยา
𝗝𝗼𝘂𝗿𝗻𝗮𝗹 𝗼𝗳 𝗦𝗮𝗲𝗻𝗴𝗞𝗵𝗼𝗺𝗞𝗵𝗮𝗺 𝗕𝘂𝗱𝗱𝗵𝗶𝘀𝘁 𝗦𝘁𝘂𝗱𝗶𝗲𝘀

🟩 ปีที่ 9 ฉบับที่ 3 (กันยายน-ธันวาคม 2567)
🟩 Vol. 9 No. 3 (September–December 2024)
📍 วารสาร TCI 1 (2565-2567)
©บัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตพะเยา©

บทความวิจัย: การใช้ชุดกิจกรรมเพื่อพัฒนานักเรียนพิการซ้อนโรงเรียนศรีสังวาลย์เชียงใหม่

𝗥𝗲𝘀𝗲𝗮𝗿𝗰𝗵 𝗔𝗿𝘁𝗶𝗰𝗹𝗲: Using a Series of Activities to Develop Students with Multiple Disabilities, Srisangwan Chiang Mai School

ผู้เขียน: สรสิช ป่านคำ
อำนาจ จันทร์แป้น
ศรีทัย สุขยศศรี
หลักสูตรศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาหลักสูตรและการสอน
คณะสังคมศาสตร์และศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยนอร์ท-เชียงใหม่

𝐀𝐮𝐭𝐡𝐨𝐫𝘀: Sorasit Pankham
Amnat Chanpan
Srithai Sookyossri
Master of Education Program in Curriculum and Instruction,
Faculty of Social Sciences and Liberal Arts, North-Chiang Mai University

✍️บทคัดย่อ✍️
งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อสร้างและหาประสิทธิภาพแผนการสอนเฉพาะบุคคลในการพัฒนาทักษะการจำพยัญชนะไทยสำหรับนักเรียนพิการซ้อน 2) เพื่อเปรียบเทียบผลการใช้ชุดกิจกรรมทักษะการจำพยัญชนะไทย สำหรับนักเรียนพิการซ้อน ก่อนและหลังใช้ชุดกิจกรรม เป็นวิจัยเชิงทดลอง ผู้ให้ข้อมูลสำคัญเป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 จำนวน 7 คน เลือกศึกษานักเรียนพิการซ้อนจำนวน 3 คน เครื่องมือในการวิจัย คือ 1) แผนการสอนเฉพาะบุคคล 2) แบบประเมินแบบประเมินค่าความเหมาะสมของแผนการสอนเฉพาะบุคคล 3) แบบประเมินผู้เรียนด้านทักษะการจำพยัญชนะไทยของนักเรียนพิการซ้อน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพื้นฐาน ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าร้อยละ และนำเสนอข้อมูลในรูปแบบของตารางประกอบคำบรรยาย
ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลการหาประสิทธิภาพแผนการสอนเฉพาะบุคคล โดยใช้ชุดกิจกรรมเพื่อพัฒนานักเรียนพิการซ้อน โรงเรียนศรีสังวาลเชียงใหม่ จากการตรวจสอบแผนการสอนเฉพาะบุคคลของผู้เชี่ยวชาญทั้ง 3 คน มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด (x̅=4.53) 2) การเปรียบเทียบผลใช้ชุดกิจกรรมในการพัฒนาทักษะการจำพยัญชนะไทย ก่อนและหลังใช้ชุดกิจกรรมของนักเรียนพิการซ้อนพบว่า ก่อนการใช้ชุดกิจกรรม คิดเป็นร้อยละ 45 และหลังการใช้ชุดกิจกรรม คิดเป็นร้อยละ 90 โดยนักเรียนมีทักษะการจำพยัญชนะไทยเพิ่มขึ้นอยู่ในระดับดีมาก องค์ความรู้จากการวิจัย คือ 1) การนำไปปรับใช้กับการเรียนการสอนสำหรับนักเรียนพิการซ้อนในช่วงชั้นอื่นได้ 2) การนำไปใช้พัฒนาสื่อการเรียนการสอนให้เกิดรูปแบบอื่นได้ 3) การปรับปรุงให้เหมาะสมกับช่วงวัยและบริบทของโรงเรียนแต่ละแห่ง

คำสำคัญ: #ชุดกิจกรรม; #นักเรียนพิการซ้อน; #โรงเรียนศรีสังวาลย์เชียงใหม่

👇สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่👇
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jsbs/article/view/263559

♦ติดต่อลงบทความ หรือสอบถามเพิ่มเติมที่♦
📞 โทร. 065-419-681-5
📧 E-mail: [email protected]
👉 page: วารสารบัณฑิตแสงโคมคำ JSBS
🟩 LINE:

📗 บทความที่ 𝟰 📗 #วารสารบัณฑิตแสงโคมคำ      #มหาวิทยาลัยมหาจุฬาฯ วิทยาเขตพะเยา𝗝𝗼𝘂𝗿𝗻𝗮𝗹 𝗼𝗳 𝗦𝗮𝗲𝗻𝗴𝗞𝗵𝗼𝗺𝗞𝗵𝗮𝗺 𝗕𝘂𝗱𝗱𝗵𝗶𝘀𝘁 𝗦𝘁𝘂𝗱𝗶𝗲𝘀🟩 ...
08/12/2024

📗 บทความที่ 𝟰 📗
#วารสารบัณฑิตแสงโคมคำ #มหาวิทยาลัยมหาจุฬาฯ วิทยาเขตพะเยา
𝗝𝗼𝘂𝗿𝗻𝗮𝗹 𝗼𝗳 𝗦𝗮𝗲𝗻𝗴𝗞𝗵𝗼𝗺𝗞𝗵𝗮𝗺 𝗕𝘂𝗱𝗱𝗵𝗶𝘀𝘁 𝗦𝘁𝘂𝗱𝗶𝗲𝘀

🟩 ปีที่ 9 ฉบับที่ 3 (กันยายน-ธันวาคม 2567)
🟩 Vol. 9 No. 3 (September–December 2024)
📍 วารสาร TCI 1 (2565-2567)
©บัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตพะเยา©

บทความวิจัย: การสังเคราะห์รูปแบบหลักสูตรการฝึกอบรมออนไลน์ร่วมกับรูปแบบชุมชนแห่งการเรียนรู้เพื่อส่งเสริมสมรรถนะการจัดการเรียนรู้รายวิชาวิทยาการคำนวณ สำหรับโรงเรียนขยายโอกาส

𝗥𝗲𝘀𝗲𝗮𝗿𝗰𝗵 𝗔𝗿𝘁𝗶𝗰𝗹𝗲: Synthesis of an Online Training Course Model Using Community-based Learning Model to Enhance Learning Management Competency in Computational Course for Opportunity Extension Schools

ผู้เขียน: พรทิพย์ เกิดถาวร
จิรพันธุ์ ศรีสมพันธุ์
กฤช สินธนะกุล
หลักสูตรปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ศึกษา บัณฑิตวิทยาลัย
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ

𝐀𝐮𝐭𝐡𝐨𝐫𝘀: Pornthip Kedtahwon
Jiraphan Srisomphan
Krich Sintanaku
Doctor of Philosophy Program in Computer Education, Graduate College, King Mongkut's University of Technology North Bangkok

✍️บทคัดย่อ✍️
บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อสังเคราะห์รูปแบบหลักสูตรการฝึกอบรมออนไลน์ร่วมกับรูปแบบชุมชนแห่งการเรียนรู้เพื่อส่งเสริมสมรรถนะการจัดการเรียนรู้รายวิชาวิทยาการคำนวณ และ 2) เพื่อศึกษาความเหมาะสมของรูปแบบหลักสูตรการฝึกอบรมออนไลน์ร่วมกับรูปแบบชุมชนแห่งการเรียนรู้เพื่อส่งเสริมสมรรถนะการจัดการเรียนรู้รายวิชาวิทยาการคำนวณ สำหรับโรงเรียนขยายโอกาส โดยใช้รูปแบบการวิจัยและพัฒนา เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบประเด็นสนทนากลุ่มและแบบประเมินความเหมาะสม ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ คือ คณาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิในสถานศึกษาระดับอุดมศึกษาของรัฐบาลและสถานศึกษาระดับเอกชน จำนวน 11 คน และผู้เชี่ยวชาญด้านการประเมินความเหมาะสมของรูปแบบหลักสูตรการฝึกอบรมออนไลน์ จำนวน 9 คน โดยคัดเลือกแบบเจาะจงตามคุณสมบัติที่กำหนด วิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติเชิงพรรณนาและการวิเคราะห์เนื้อหา
ผลการวิจัยพบว่า 1) รูปแบบหลักสูตรการฝึกอบรมออนไลน์ร่วมกับรูปแบบชุมชนแห่งการเรียนรู้เพื่อส่งเสริมสมรรถนะการจัดการเรียนรู้รายวิชาวิทยาการคำนวณ สำหรับโรงเรียนขยายโอกาส 4 องค์ประกอบ คือ (1) แนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง (2) หลักการของรูปแบบฝึกอบรม (3) กระบวนการฝึกอบรม (4) การวัดผลประเมินผล โดยมีขั้นตอนกระบวนการฝึกอบรม 6 ขั้นตอน ได้แก่ (1) เตรียมความพร้อม (2) วางแผนร่วมกัน (3) วิเคราะห์และออกแบบร่วมกัน (4) นำเสนอและแลกเปลี่ยนเรียนรู้ (5) จัดการเรียนรู้และสังเกตการสอน (6) สะท้อนคิด 2) การประเมินมาตรฐานคุณภาพรูปแบบทุกด้านจากผู้เชี่ยวชาญ อยู่ในระดับมากที่สุด (x̅=4.84; S.D.=0.13) ซึ่งมีคุณภาพมาตรฐานและประสิทธิภาพในการจัดการเรียนการสอนได้ องค์ความรู้จากการวิจัย คือ การได้รูปแบบหลักสูตรการฝึกอบรมออนไลน์ร่วมกับรูปแบบชุมชนแห่งการเรียนรู้เพื่อส่งเสริมสมรรถนะการจัดการเรียนรู้รายวิชาวิทยาการคำนวณ สำหรับโรงเรียนขยายโอกาสที่เรียกว่า PEMF2C2L Model ที่มีคุณภาพและประสิทธิภาพในการจัดการเรียนการสอนออนไลน์

คำสำคัญ: #หลักสูตรการฝึกอบรมออนไลน์; #ชุมชนแห่งการเรียนรู้; #สมรรถนะการจัดการเรียนรู้; #รายวิชาวิทยาการคำนวณ; #โรงเรียนขยายโอกาส

👇สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่👇
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jsbs/article/view/266060

♦ติดต่อลงบทความ หรือสอบถามเพิ่มเติมที่♦
📞 โทร. 065-419-681-5
📧 E-mail: [email protected]
👉 page: วารสารบัณฑิตแสงโคมคำ JSBS
🟩 LINE:

02/12/2024
28/11/2024

ประกาศ 🎊 กำหนดวันประกาศผลการประเมินคุณภาพวารสารวิชาการที่อยู่ในฐานข้อมูล TCI รอบที่ 5 (รับรองคุณภาพวารสารเป็นเวลา 5 ปี ระหว่าง พ.ศ. 2568-2572) และวารสารใหม่ที่ต้องการเข้าสู่ฐานข้อมูล TCI พ.ศ. 2567 🎊
รายละเอียดเพิ่มเติม : https://tci-thailand.org/view?slug=N0McHgIEJB

ที่อยู่

มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตพะเยา
Phayao
56000

เวลาทำการ

จันทร์ 09:00 - 17:00
อังคาร 09:00 - 17:00
พุธ 09:00 - 17:00
พฤหัสบดี 09:00 - 17:00
ศุกร์ 09:00 - 17:00

เบอร์โทรศัพท์

+66654196815

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ วารสารบัณฑิตแสงโคมคำ JSBSผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ ธุรกิจของเรา

ส่งข้อความของคุณถึง วารสารบัณฑิตแสงโคมคำ JSBS:

แชร์