22/09/2016
#รักอย่างเข้าใจ....ไม่มีใครต้องเจ็บ
#รักอย่างเข้าใจ....ไม่มีใครต้องเจ็บ
ในเรื่องของความรัก เป็นเรื่องของความรู้สึกดีๆที่มีต่อกัน
แต่หลายครั้งความรู้สึกดีๆกลับสื่อไปไม่ถึงกัน
อีกฝ่ายไม่รับรู้ หรือ เกิดความเข้าใจกันผิดๆ
นำมาสู่ความบาดหมางใจกันอย่างน่าเสียดาย ทั้งที่รักกัน
ปัญหาที่เจอบ่อยในความสัมพันธ์คือภาษารักไม่ตรงกัน ^^"
การมารู้จัก"ภาษารัก" ว่ามีหลากหลายแบบ กว่าที่เราเคยเข้าใจมาก่อน จะทำให้เข้าใจในกันและกัน
และ ช่วยลดความสงสัยว่าเขารักหรือเปล่า
รวมถึงช่วยให้รู้ว่าภาษารักที่เราแสดงออกต่อเขา กำลังพอดีตรงใจเขาหรือไม่ นะคะ
เราลองมาดูกันนะคะ ว่าภาษารักของเราเป็นแบบไหน
และของคนที่เรารักเป็นแบบไหน
แล้วเรียนรู้ที่จะปรับเข้าหากันอย่างไร เพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน ^ ^
.
ในทางจิตวิทยาโดย ดอกเตอร์ Gary Chapman นักจิตวิทยาด้านให้คำปรึกษาเรื่องความสัมพันธ์
ได้กล่าวถึง ภาษารัก ของมนุษย์โดยหลักๆ มี 5 แบบค่ะ
1. คำพูด (Word of affirmation, appreciation)
2. มีเวลาคุณภาพให้แก่กัน (Quality time)
3. ของขวัญ สิ่งของดีๆ (Gifts)
4. การดูแล (Acts of service )
5. การสัมผัส ทางกาย (Physical touch)
การที่เขาแสดงความรักออกมาไม่เหมือนที่เราใฝ่ฝัน ไม่ได้แปลว่าเขาไม่รักเรานะคะ
และ สิ่งทีเราแสดงออกต่อเขา(ด้วยใจที่เต็มเปี่ยมด้วยความรัก)
ไม่ได้แปลว่าเขาจะรับรู้ได้ หรือ รู้สึกดีเสมอไปนะคะ
ดังรายละเอียดดังนี้ค่ะ
.
1. คำพูด (Word of affirmation, appreciation)
ภาษารักด้วยคำพูด เช่น คำบอก"รัก" การบอกความรู้สึกดีๆ เช่น เป็นห่วง คิดถึง หรือ การพูดให้กำลังใจ หรือ พูดชมเชยกัน
ซึ่งคำพูดจะช่วยอีกฝ่ายรับรู้ความรู้สึกดีๆ ในแบบง่ายๆ ตรงไป ตรงมา
ไม่ต้องมาเล่นเกมเดาใจว่าอีกฝ่ายทำแบบนี้คิดอะไรอยู่นะ
ซึ่งในชีวิตจริงไม่เหมือนละคร ที่อีกฝ่ายจะรับรู้ความรู้สึกได้แม้เราไม่พูดออกมา
สิ่งที่ต้องระวัง : คำพูดที่หวาน แต่ไม่มีความจริง พูดเพื่อเอาใจ แต่ทำไม่ได้ หรือ หวานเวอร์
อาจทำให้อีกฝ่ายรู้สึกเลี่ยนๆ น่ารำคาญ หรือ รู้สึกว่า เป็นคำโกหกหลอกลวง
สิ่งที่ควรเป็นคือ
- คำพูดที่ออกมาจากใจจริงๆ
- บอกให้มากขึ้น สำหรับคนที่มองว่าคำพูดไม่สำคัญ เท่าการกระทำ
ซึ่งจริงๆอาจไม่จริงทั้งหมดค่ะ
การฝึกพูด ฝึกแสดงความรู้สึกผ่านคำพูดบ้างเป็นเรื่องที่ดี
หลายครั้งทำให้ความสัมพันธ์ดีขึ้นมาก
คำพูดหนึ่งๆมีอิทธิพลมากค่ะคำพูดดีๆ จากคนที่เรารัก เหมือนเป็นน้ำทิพย์ชะโลมใจทีเดียว ทำให้ผู้ฟังเกิดกำลังใจขึ้นอย่างมหาศาลค่ะ
.
2. มีเวลาคุณภาพให้แก่กัน (Quality time)
เช่น มีเวลาที่จะอยู่ด้วยกันจริงๆที่จะรับรู้ความรู้สึกของอีกฝ่าย หรือ ทำกิจกรรมดีๆ ด้วยกัน เป็นต้น
สิ่งที่แสดงถึงว่ามีเวลาคุณภาพให้กันจริงๆ
- เลือกกิจกรรมดีๆ ที่สนใจร่วมกันจริงๆ ไม่ใช่ เลือกกิจกรรมที่ชอบอยู่ฝ่ายเดียว สนุกอยู่คนเดียว อีกฝ่ายก็ไม่ไหวค่ะ
- มีเวลาสงบๆ ง่ายๆอยู่กับคู่บ้าง ไม่ใช่ ทำตัวยุ่ง ทำนู่นทำนี่ตลอดเวลา เช่น นั่งเงียบๆสงบ สบาย ใกล้ๆกันก็ เป็นเวลาที่มีคุณภาพได้
- ไม่ควรทำสิ่งอื่นไปด้วยในเวลาเดียวกัน เช่น ก้มหน้าเล่นมือถือตลอด หรือ ดูทีวี หรือ เล่นคอมพิวเตอร์ไปด้วย
มีหลายครั้งพบว่า ในยุคไอทีรุ่งเรือง เวลาคุณภาพของการอยู่ด้วยกันจริงๆกับด้อยลง เช่น หลายครั้งเราจะพบว่า คู่ของเราเวลาอยู่กับเรา แต่ก้มหน้ามองแต่มือถือ หรือ ตามองแต่หน้าจอคอมพิวเตอร์ตลอดเวลา
ทำให้คนอยู่ด้วย ไม่ได้รู้สึกว่าอยู่ด้วยกันจริงๆ
เพราะ สิ่งที่เขาสนใจกลับเป็นมือถือ หรือ คอมพิวเตอร์ หรือ ทีวี มากกว่าตัวเราที่นั่งอยู่ตรงนี้
ทำให้เกิดความน้อยใจ และ รู้สึกว่างเปล่าในความสัมพันธ์ขึ้นได้
- ในเรื่องการสนทนา
• ใส่ใจ รับฟังคู่คุณอย่างตั้งใจ ไม่พูดขัดคอ หรือ รีบตัดบท
• รับฟังอย่างเข้าใจ
• รับรู้ถึงความรู้สึกในสิ่งที่เขากำลังบอกออกมา
• ใส่ใจสังเกตภาษากายของอีกฝ่ายบ้าง
แต่อย่ามากเกินไป เพราะอีกฝ่ายอาจรู้สึกอึดอัด หรือ เหมือนถูกจับผิดได้
• เปิดใจ แบ่งปัน ความรู้สึก ของตนเอง หรือ เรื่องราวของตนเอง จะทำให้อีกฝ่ายรู้สึกถึงความสนิทใจ ที่มีต่อกัน
แต่ไม่ใช่เล่าแต่เรื่องตนเองตลอดเวลา จนไม่ฟังเรื่องของอีกฝ่ายเลย
สิ่งที่ต้องระวัง :
บางคนต้องการเวลาคุณภาพจากคนรักมาก จนอีกฝ่ายรู้สึกว่าขาดอิสระในชีวิต เช่น ต้องไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด ต้องอยู่ด้วยกันตลอด การที่อีกฝ่ายต้องการเวลาของตัวเองบ้าง ไม่ได้แปลว่าเขาไม่รักนะคะ
เพียงแต่แต่ละคนต้องการพื้นที่ชีวิตความเป็นส่วนตัวไม่เท่ากันค่ะ บางคนต้องการมาก บางคนต้องการน้อยหน่อยค่ะ
.
3. ของขวัญ สิ่งของดีๆ (Gifts)
เป็นภาษารักที่สำคัญมากอีกอันหนึ่ง เช่น ของขวัญในวันสำคัญ หรือ การไปไหน แล้วมีของฝาก หรือ ซื้อของโปรดของชอบให้ หรือ การให้ดอกไม้ เป็นต้น
หลายครั้งความสำคัญไม่ใช่เรื่อง ราคาของ แต่สิ่งสำคัญคือ ความนึกถึงกัน ใส่ใจกัน
ของขวัญ หรือ สิ่งของดีๆที่มอบให้กัน จีงเป็นเหมือนสัญลักษณ์ของความรัก ความห่วงใยที่มีให้กัน
สิ่งของชิ้นหนึ่ง อาจมีค่าไปตลอดชีวิตของคนๆหนึ่งเลยทีเดียวค่ะ
สิ่งที่ต้องระวัง :
หลายครั้งบางคนให้ความรักเป็นสิ่งของเป็นวัตถุตลอดเวลา
เช่น มีพ่อบ้านมากมาย ที่ทำงานหนักมาก เพื่อหาเงินเลี้ยงครอบครัว และ มองว่าต้องมีสิ่งของวัตถุดีๆ
เพื่อทำให้ชีวิตครอบครัวสมบูรณ์ มือถือออกรุ่นใหม่ ต้องซื้อให้ลูกทุกครั้ง เพราะ นั่นคือ ความรักที่แสดงว่าพ่อรักลูก
แต่จริงๆ บางทีลูกอาจต้องการแค่เวลาคุณภาพจากพ่อบ้าง ภรรยาแค่ต้องการความใส่ใจห่วงใยบ้าง
แต่พ่อบ้านอาจไม่ได้ให้ เพราะ มัวแต่ยุ่งมุ่งกับภาษารักที่เป็นวัตถุสิ่งของ จนลืมไปว่าความรักที่จะให้มีได้อีกหลายแบบค่ะ
.
4. การดูแล ( Acts of service )
เช่น การดูแลเรื่องต่างๆ การบริการ เช่น ขับรถไปรับไปส่ง การทำอาหารให้ทาน การพาไปหาหมอเวลาไม่สบาย เป็นต้น
สิ่งที่ต้องระวังคือ : การดูแลมากเกินไป อีกฝ่ายอาจรู้สึกอึดอัดได้ค่ะ
เช่น บางคนดูแลมากทุกเรืองในชีวิต แม้กระทั่งยาสีฟันยังบีบให้ ซึ่งถ้าคู่คุณชอบ ถือว่ากำลังดีสำหรับคู่คุณค่ะ
แต่บางคนอาจไม่ได้ชอบการดูแลที่มากๆ อีกฝ่ายอาจอึดอัดได้เพราะรู้สึกว่าขาดความเป็นส่วนตัว ถูกก้าวก่ายในชีวิตเกินไปได้ค่ะ
สิ่งทีควรเป็น คือ
- ดูว่าคู่ของคุณต้องการการดูแลขนาดไหนค่ะ
บางคนชอบให้ดูแลมากๆ บางคนอาจไม่ชอบที่มากเกินไปค่ะ จัดให้พอดีๆกับคู่ของคุณค่ะ
.
5. การสัมผัส ทางกาย (Physical touch)
เช่น การจับมือ การกอด การโอบ การตบไหล่ การหอม การจูบ แม้กระทั่งเรื่องเพศสัมพันธ์
ซึ่งการบอกรักด้วยภาษาร่างกาย การสัมผัสมีพลังมากนะคะ
เช่น เวลาที่ต้องการกำลังใจ การตบไหล่ การลูบหลังเบาๆ ให้กำลังใจ บางทีมีพลังมากกว่าคำพูดอีกนะคะ
สิ่งที่ต้องระวัง :
- การสัมผัสทางกาย ไม่ใช่เรื่องบนเตียง หรือ เพศสัมพันธ์อย่างเดียวค่ะ
หลายคน พอบอกว่า ส่งภาษารักด้วยการสัมผัสทางกาย จะคิดถึงเรื่องเพศสัมพันธุ์ทันที
ซึ่งเพศสัมพันธ์เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น
แต่การแสดงความรัก ความห่วงใยด้วยการสัมผัสมีอีกหลายอย่างมากค่ะ
เช่น การแสดงความรู้สึกดีๆด้วยการจับมือ การตบไหล่ การกอด เหล่านี้
เป็นภาษารักที่ทำให้คนที่ได้รับรู้สึกอบอุ่น และ มีพลังมากค่ะ
สิ่งที่ควรเป็น
- จัดให้เหมาะสมพอดีกับคู่ของเราค่ะ บางคนไม่ได้ชอบให้สัมผัสร่างกายมากมาย อาจทำให้อีกฝ่ายรุ้สึกอึดอัดรำคาญได้ค่ะ เหมือนถูกนัวเนียตลอดเวลา
แต่ขณะที่บางคนชอบและรู้สึกดี ดังนั้นจัดให้พอดีกับคู่ของตัวเองนะคะ
.